บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง สาเหตุโรคทำลายสมองที่คุณควรรู้ ผ่านการอธิบายถึงโรคหลอดเลือดสมอง สาเหตุ อาการ การป้องกัน ข้อมูลทั้งหมดเรานำเสนอ เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพของตัวเองและคนที่คุณรักได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
รู้จักภัยเงียบที่คุกคามชีวิต โรคหลอดเลือดสมองคืออะไร?
Stroke หรือ โรคหลอดเลือดสมอง คือ โรคที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน โดยมีสาเหตุมาจากการที่เส้นเลือดในสมองอุดตัน เส้นเลือดสมองตีบหรือแตก ส่งผลให้สมองขาดออกซิเจนและเสียหาย ไม่สามารถสั่งการได้ตามปกติ เกิดอาการทางระบบประสาทตามตำแหน่งของสมองที่ เสียหาย เช่น อ่อนแรงครึ่งซีก หน้าเบี้ยว พูดไม่ชัด ไม่เข้าใจภาษา มองไม่เห็น เวียนศีรษะ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่าง ทันท่วงทีอาจทำให้สมองได้รับความเสียหายถาวร นำมาซึ่งภาวะทุพพลภาพ เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้
สาเหตุของโรคหลอดเลือดสมอง มีอะไรบ้าง?
สาเหตุเส้นเลือดในสมองตีบ
- หลอดเลือดแดงใหญ่ในสมองตีบ โดยส่วนใหญ่เกิดจากตะกรันไขมันพอกอยู่ตามหลอดเลือด มักสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรคไขมันในหลอดเลือดสูง และคนที่สูบบุหรี่หนัก
- หลอดเลือดฝอยในสมองตีบ เกิดจากการที่หลอดเลือดฝอยเสื่อมสภาพ มักสัมพันธ์กับภาวะความดันโลหิตสูงที่เป็นมายาวนาน
- ลิ่มเลือดจากหัวใจลอยมาอุดหลอดเลือดในสมอง เกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะแบบสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) ทำให้เกิดลิ่มเลือดในหัวใจ ซึ่ง สามารถหลุดลอยมาอุดหลอดเลือดในสมองได้ เนื่องจากหลอดเลือดสมองเชื่อมต่อกับหลอด เลือดแดงใหญ่จากหัวใจโดยตรง
- สาเหตุอื่น ๆ หลอดเลือดอักเสบจากภูมิคุ้มกันหรือติดเชื้อ, น้ำเลือดข้นจากเกล็ดเลือดที่สูงเกินไป อย่างไรก็ตาม สาเหตุอื่นๆนี้ไม่ใช่สาเหตุที่พบได้บ่อย
สาเหตุของหลอดเลือดสมองแตก
- หลอดเลือดสมองโป่งพอง เกิดจากภาวะความดันโลหิตสูงที่เป็นมายาวนาน ไม่ได้รับการรักษา ซึ่งสาเหตุนี้คือสาเหตุหลัก ในบางรายอาจเกิดจากโรคอื่นๆที่ทำให้ความยืดหยุ่นผนังหลอดเลือดผิดปกติเช่น Marfan Syndrome อย่างไรก็ตามภาวะนี้พบไม่บ่อย
- ความผิดปกติของหลอดเลือดแต่กำเนิด เกิดการเชื่อมต่อผิดปกติระหว่างหลอดเลือดแดง (Artery) และ หลอดเลือดดำ (Vein) ที่เรียกว่า Arteriovenous Malformation (AVM)

- หลอดเลือดสมองโป่งพอง เกิดจากภาวะความดันโลหิตสูงที่เป็นมายาวนาน ไม่ได้รับการรักษา ซึ่งสาเหตุนี้คือสาเหตุหลัก ในบางรายอาจเกิดจากโรคอื่นๆที่ทำให้ความยืดหยุ่นผนังหลอดเลือดผิดปกติเช่น Marfan Syndrome อย่างไรก็ตามภาวะนี้พบไม่บ่อย
- ความผิดปกติของหลอดเลือดแต่กำเนิด เกิดการเชื่อมต่อผิดปกติระหว่างหลอดเลือดแดง (Artery) และ หลอดเลือดดำ (Vein) ที่เรียกว่า Arteriovenous Malformation (AVM)
ระเบิดเวลาในสมอง! ปัจจัยเสี่ยงที่คุณควรรู้โรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมอง สาเหตุมาจากปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองที่สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ดังนี้
ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้
- อายุ คนไข้ที่มีอายุมากนั้นจะมีความเสี่ยงต่อโรคมากกว่าคนที่อายุน้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
- พันธุกรรม
ปัจจัยที่ควบคุมได้
- ความดันโลหิตสูง
- ไขมันในเลือดสูง
- บุหรี่ ควรงดการสูบบุหรี่
- เบาหวาน
- สารเสพติด เป็นอีกสาเหตุสำคัญของการเป็นโรคหลอดเลือดสมองตั้งแต่อายุยังน้อย
- ความดันโลหิตสูง
- ไขมันในเลือดสูง
- บุหรี่ ควรงดการสูบบุหรี่
- เบาหวาน
- สารเสพติด เป็นอีกสาเหตุสำคัญของการเป็นโรคหลอดเลือดสมองตั้งแต่อายุยังน้อย
อายุมากเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองจริงหรือ
อายุ อายุที่มากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง แม้ว่าจะไม่มีโรคประจำตัวอื่น ๆ ก็ตาม ตัวอย่างเช่น ผู้สูงอายุ 80 ปี มีความเสี่ยงมากกว่าผู้ที่มีอายุ 30 ปี
พันธุกรรม ประวัติครอบครัวที่มีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง อาจเพิ่มความเสี่ยงได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยทางพันธุกรรมเป็นเพียงส่วนน้อยของสาเหตุการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง เนื่องจากเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ จึงควรเน้นไปควบคุมปัจจัยที่ควบคุมได้
โรคหลอดเลือดสมอง สัญญาณเตือนที่คุณต้องรู้
โรคหลอดเลือดสมองเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรีบรักษา เพราะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ความพิการหรือเสียชีวิตได้ อาการของโรคหลอดเลือดสมองมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรง
อาการเส้นเลือดในสมองตีบและอาการเส้นเลือดในสมองแตก เบื้องต้น
การสำรวจตัวเองว่าเป็นหรือไม่ จำ BE-FAST ไว้ให้ขึ้นใจ!
- B (Balance) → สูญเสียการทรงตัว เวียนศีรษะ เดินเซ
- E (Eyes) → เห็นภาพซ้อน หรือสูญเสียการมองเห็นกะทันหัน ลานสายตาหายไปครึ่งแถบ
- F (Face) → ใบหน้าชาครึ่งซีก หรือปากเบี้ยวข้างเดียว
- A (Arms) → แขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง ยกไม่ขึ้น
- S (Speech) → พูดไม่ชัด พูดไม่ได้ หรือฟังไม่เข้าใจ
- T (Time) → รีบไปโรงพยาบาลโดยด่วน!
อาการเหล่านี้ ห้ามมองข้าม! รีบพบแพทย์ทันที
หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการดังกล่าวข้างต้น แม้เพียงอาการเดียว ควรรีบไปพบแพทย์ทันที หรือโทรเรียกรถพยาบาล เพราะการรักษาที่รวดเร็วจะช่วยลดความเสียหายของสมองและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัว
การวินิจฉัยโรค กุญแจสำคัญสู่การรักษาที่ถูกต้อง
เนื่องจาก อาการของหลอดเลือดในสมองตีบนั้นมีความคล้ายคลึงกับอาการหลอดเลือดในสมองแตก เพราะฉะนั้นการวินิจฉัยโรคจะต้องให้แพทย์
- การยืนยันการวินิจฉัย เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างโรคหลอดเลือดในสมองแตกหรือตีบ ต้องใช้ภาพทางรังสีคือ CT-Scan หรือ MRI
- MRI ให้ความแม่นยำได้มากกว่า แต่ข้อเสียคือใช้เวลานานกว่า CT-Scan เวลาประมาณ 20-30 นาที
- CT-Scan รวดเร็วกว่า ใช้เวลาประมาณ 5 นาที สามารถแยกภาวะหลอดเลือดสมองว่าแตกหรือตีบได้ดี
- ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการ แต่ไปถึงโรงพยาบาลเร็วมาก CT-Scan อาจปกติได้ บ่งบอกว่าสองยังไม่เสียหาย มาก เลยไม่พบความผิดปกติใน CT-Scan
ทั้งนี้การรักษาในเบื้องต้นของทั้งโรคหลอดเลือดตีบและแตกนั้นแตกต่างกัน ในกรณี ถ้าคนไข้ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบการที่ผู้ป่วยมาเร็วและสามารถรักษาได้ภายใน 4.5 ชั่วโมง จะสามารถให้ยาละลายลิ่มเลือด เพื่อเอาลิ่มเลือดที่อุดตันในสมองให้สลายไปได้ สําหรับคนไข้บางคนถ้ามาทันภายใน 24 ชั่วโมง และมีข้อบ่งชี แพทย์อาจพิจารณาดึงลากลิ่มเลือดได้พวกนี้ล้วนแล้วแต่เพิ่มโอกาสในการรักษาหายทั้งสิ้น
ในระยะที่พ้นจากระยะวิกฤตไปแล้วในระยะการดูแลต่อเนื่อง จะคล้ายคลึงกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าคนไข้โรคหลอดเลือดสมองตีบ หรือเส้นเลือดแตกเป็นความดันโลหิตสูง ต้องคุมความดัน ถ้าเป็นไขมันในเลือดสูงทั้งคู่ต้องคุมไขมันไม่ให้มีไขมันสูง ถ้าสูบบุหรี่อยู่ก็ควรจะหยุดการสูบบุหรี่ เป็นต้น
สรุปได้ว่าในการวินิจฉัยในระยะฉับพลันทันทีทั้งตีบกับแตก มีความแตกต่างกัน จำเป็นที่ต้อง CT-Scan หรือ MRI เพื่อแยกความแตกต่างและรักษาแยกตามลักษณะของการเป็นตีบหรือแตก
ข้อควรระวังหลังจากเป็นโรคหลอดเลือดสมอง สู่การฟื้นฟูและชีวิตใหม่
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมีหลายประการ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและสภาพร่างกายของผู้ป่วยแต่ละราย โดยภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยมีดังนี้
1. การติดเชื้อ
- ปอดอักเสบจากการสำลัก ผู้ป่วยที่นอนติดเตียงมีความเสี่ยงสูงต่อการสำลักอาหารหรือน้ำลายลงปอด ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
- การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือควบคุมการปัสสาวะได้เอง มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
- แผลกดทับ หากผู้ป่วยนอนในท่าเดิมเป็นเวลานาน อาจเกิดแผลกดทับ ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อได้
2. ภาวะเกร็ง เป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากความเสียหายของระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง
3. โรคชัก ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการชัก เนื่องจากความเสียหายของสมอง
4. ภาวะเลือดออกง่าย ผู้ป่วยที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือด มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกง่ายกว่าคนทั่วไป ดังนั้น ควรระมัดระวังกิจกรรมที่อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือพลัดตกหกล้มอ่อนแรง
การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง วิธีดูแลสุขภาพเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
แนวทางการรักษาและฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง มุ่งเน้นไปที่การควบคุมปัจจัยเสี่ยงและการฟื้นฟูร่างกาย เพื่อป้องกันการเกิดโรคซ้ำและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
การควบคุมปัจจัยเสี่ยง ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคซ้ำสูงกว่าคนทั่วไป ดังนั้น การควบคุมปัจจัยเสี่ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ปัจจัยเสี่ยงที่ควรควบคุม ได้แก่
- ความดันโลหิตสูง รับประทานยาตามแพทย์สั่ง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ลดการบริโภคโซเดียม ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- โรคเบาหวาน ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยรับประทานยา ควบคุมอาหาร และออกกำลังกาย
- ไขมันในเลือดสูง ควบคุมระดับไขมันในเลือด โดยรับประทานยา ควบคุมอาหาร และออกกำลังกาย
- การสูบบุหรี่ เลิกสูบบุหรี่
- โรคหัวใจ รักษาโรคหัวใจตามคำแนะนำของแพทย์
- น้ำหนักเกิน ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
- การดื่มแอลกอฮอล์ ลดหรืองดดื่มแอลกอฮอล์
แม้ว่าจะควบคุมปัจจัยเสี่ยงได้ดีแล้ว แต่ความเสี่ยงในการเกิดโรคซ้ำก็ยังสูงกว่าคนทั่วไป ดังนั้น ผู้ป่วยจึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
การป้องกันไม่ให้เกิดการกลับเป็นซ้ำ
การรับประทานยาตามแพทย์สั่ง ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมักได้รับยาหลายชนิด เพื่อควบคุมอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยควรรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และไม่ควรหยุดยาหรือปรับขนาดยาเอง
โรคหลอดเลือดสมองรักษาหายได้ไหม?
สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
- สมองบริเวณที่เสียหายมากน้อยเพียงใด หรือเสียหายในจุดสำคัญหรือไม่
- หลังจากที่รักษาแล้วสามารถควบคุมโรคประจำตัวของตัวเองได้ดีแค่ไหน
- อายุของคนไข้
- ได้ทำการกายภาพหลังจากที่รักษาแล้วหรือไม่
ดังนั้นใครที่สมองเสียหายน้อยการฟื้นตัวจะทำได้เร็วกว่า กลับมาเดินได้ไวกว่า อาจจะแค่ภายใน 1 เดือน แต่ใครที่สมองเสียหายมาก การฟื้นตัวจะทำได้ช้าหรือทำไม่ค่อยได้ ภายใน 1 เดือน อาจทำได้เพียงฝึกนั่งบนเตียง ฝึกทรงตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโรคประจำตัวร่วมด้วย ในบางคนที่ไม่มีโรคประจำตัว แต่อยู่ดี ๆ พบว่าตนเองเป็น Stroke การฟื้นตัวก็จะทำได้เร็วกว่าคนที่มีปัญหาเบาหวาน ความดัน หรือการไหลเวียนเลือดอื่น ๆ ร่วมด้วย และในคนที่อายุมาก การฟื้นตัวจะยิ่งต้องใช้เวลานานขึ้น
วิธีการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง
การดูแลรักษาในระยะเร่งด่วน
ระบบที่ใช้ดูแลผู้ป่วยในระยะเร่งด่วนเรียกว่า Stroke Fast Track ส่วนใหญ่หลายสถานพยาบาลจะกำหนดไว้ที่ 4.5 ชั่วโมงแต่บางสถานพยาบาลอาจกำหนดระยะเวลาต่าง จากนี้ขึ้นกับขีดความสามารถ และความพร้อมของแต่ละที่
หลอดเลือดสมองตีบ
- การเปิดหลอดเลือด เพื่อให้เลือดกลับไปเลี้ยงส่วนของสมองที่ยังไม่เสียหายนั้นสำคัญที่สุด
- ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการ
- ให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ (rt-PA) ในรายที่มีอาการน้อยกว่า 4.5 ชั่วโมง และ ไม่มีข้อห้ามในการให้ยา
- ใช้สายสวนดึงลากลิ่มเลือด (Thrombectomy) ในรายที่มีลิ่มเลือดชิ้นใหญ่ในหลอดเลือด สมอง มีอาการ ไม่เกิน 24 ชั่วโมง และไม่มีข้อห้าม
ดังนั้นการที่พาผู้ป่วยไปให้ถึงโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดจึงสำคัญ ไม่ควรรอสังเกตอาการ
หลอดเลือดสมองแตก
- ไม่มีการใช้ยาละลายลิ่มเลือดในผู้ป่วย หลอดเลือดสมองแตกเนื่องจากจะทำให้เลือดออกมากขึ้น อาการผู้ป่วยแย่ลง
- ในบางรายที่เลือดออกมาก ศัลยแพทย์ระบบประสาท อาจพิจารณาใช้การผ่าตัดรักษา
การดูแลรักษาต่อเนื่องและการกายภาพฟื้นฟู
- ให้การรักษาในโรงพยาบาล ให้น้ำเกลือ คุมระดับความดัน ออกซิเจน และน้ำตาลในเลือด
- รักษาโรคร่วมที่ตรวจพบ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวานรับประทานยาที่แพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง ฝึกกายภาพเบื้องต้นและวางแผนการกายภาพในระยะยาว Golden Period
หากคุณหรือคนใกล้ชิดกำลังเผชิญกับความท้าทายจากโรคหลอดเลือดสมอง WALK WELL พร้อมให้การดูแลและฟื้นฟูอย่างครบวงจร
WALK WELL – เดินได้เดินดี ศูนย์ดูแลผู้ป่วยหลอดเลือดสมองโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง ศูนย์ดูแลผู้ป่วยหลอดเลือดสมองโดยอายุรแพทย์ระบบประสาท และแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู มีโปรแกรมกายภาพบำบัด สามารถปรับตามได้ในแต่ละบุคคล และมีการประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม ติดต่อศูนย์ WALK WELL
คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง สาเหตุ
ทำไมความดันโลหิตสูงจึงเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
เพราะความดันสูงทำให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมและเปราะบางง่าย เกิดการแตกหรือฉีกขาดได้ง่าย อีกทั้งยังส่งผลให้หลอดเลือดตีบตันเร็วกว่าคนทั่วไป
เพราะความดันสูงทำให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมและเปราะบางง่าย เกิดการแตกหรือฉีกขาดได้ง่าย อีกทั้งยังส่งผลให้หลอดเลือดตีบตันเร็วกว่าคนทั่วไป
โรคเบาหวานเพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองอย่างไร
โรคเบาหวานทำให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมและไขมันเกาะผนังหลอดเลือดง่ายขึ้น ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปสมองได้ไม่ดี และมีโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตันสูงกว่าคนปกติหลายเท่า
โรคเบาหวานทำให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมและไขมันเกาะผนังหลอดเลือดง่ายขึ้น ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปสมองได้ไม่ดี และมีโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตันสูงกว่าคนปกติหลายเท่า
ไขมันในเลือดสูงเกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดสมองอย่างไร
ไขมันเลว (LDL) ที่สูงจะเกาะตามผนังหลอดเลือดจนเกิดคราบไขมันหนาตัว ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง เลือดไหลไม่สะดวก และเสี่ยงเกิดลิ่มเลือดอุดตันในสมอง
ไขมันเลว (LDL) ที่สูงจะเกาะตามผนังหลอดเลือดจนเกิดคราบไขมันหนาตัว ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง เลือดไหลไม่สะดวก และเสี่ยงเกิดลิ่มเลือดอุดตันในสมอง
การนอนหลับมีผลต่อโรคหลอดเลือดสมองหรือไม่
ผู้ที่นอนน้อยเกินไป (ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง) หรือนอนมากเกินไป (เกิน 9 ชั่วโมง) มีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองสูงกว่าคนที่นอนปกติ 7–8 ชั่วโมงต่อคืน
ผู้ที่นอนน้อยเกินไป (ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง) หรือนอนมากเกินไป (เกิน 9 ชั่วโมง) มีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองสูงกว่าคนที่นอนปกติ 7–8 ชั่วโมงต่อคืน
อายุเท่าไรเริ่มต้องระวังโรคหลอดเลือดสมอง
แม้จะพบมากในผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันคนอายุน้อยลงก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์มาก ใช้สารเสพติด และไม่ออกกำลังกาย
แม้จะพบมากในผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันคนอายุน้อยลงก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์มาก ใช้สารเสพติด และไม่ออกกำลังกาย