“อัมพฤกษ์” คำที่หลายคนอาจเคยได้ยินและหวั่นกลัว เพราะเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างมาก ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว พูด หรือแม้แต่ดูแลตัวเองได้ อาการที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและไม่คาดคิด ทำให้หลายคนตกใจและไม่รู้จะรับมืออย่างไร
แต่รู้หรือไม่ว่า โรคอัมพฤกษ์นั้นสามารถป้องกันได้ หากเรารู้จักสังเกตสัญญาณเตือนและเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้
บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักว่าอัมพฤกษ์คืออะไร อัมพฤกษ์ อาการเป็นยังไง เราจะรักษาอัมพฤกษ์ได้อย่างไร ไปจนถึงการอธิบายวิธีการป้องกันและการดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรค
อัมพฤกษ์คืออะไร? รู้จักโรคนี้ให้มากขึ้น ก่อนสายเกินไป
อัมพฤกษ์ คือภาวะที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายอ่อนแรงลง โดยทั่วไปมักหมายถึงอาการอ่อนแรงของแขนขา อย่างไรก็ตาม อวัยวะส่วนอื่น ๆ ก็สามารถเกิดอัมพฤกษ์ได้เช่นกัน ตัวอย่าง เช่น
- ดวงตา เรียกว่า อัมพฤกษ์กล้ามเนื้อกลอกตาบางมัด
- ท้อง เรียกว่า อัมพฤกษ์กระเพาะ
- เส้นเสียง เรียกว่า อัมพฤกษ์เส้นเสียง
อัมพฤกษ์ กับ อัมพาต ต่างกันอย่างไร?
- อัมพฤกษ์ เป็นภาวะที่กล้ามเนื้ออ่อนแรง แต่ผู้ป่วยยังคงสามารถเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายได้บ้าง มักมีอาการชาร่วมด้วย และอาจมีอาการอื่น ๆ เช่น พูดลำบาก หรือเห็นภาพซ้อน
- อัมพาต เป็นภาวะที่กล้ามเนื้ออ่อนแรงอย่างมาก จนไม่สามารถเคลื่อนไหวส่วนที่เป็นได้เลย ผู้ป่วยจะไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของบริเวณนั้นได้
สัญญาณเตือน “อัมพฤกษ์ อัมพาต” ที่คุณไม่ควรพลาด
การรู้จักสังเกตว่าเป็นอัมพฤกษ์ อาการสัญญาณเตือนเหล่านี้ จะช่วยให้คุณสามารถขอความช่วยเหลือได้ทันท่วงที และเพิ่มโอกาสในการรักษา
- ใบหน้าเบี้ยว ยิ้มไม่สมส่วน ปากเบี้ยว
- แขนขาอ่อนแรง ยกแขนขาข้างใดข้างหนึ่งไม่ได้ หรือรู้สึกชา
- พูดลำบาก พูดไม่ชัด หรือพูดไม่รู้เรื่อง
- มองเห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็น
- เวียนหัว วิงเวียน หรือเสียการทรงตัว
สาเหตุหลักของอัมพฤกษ์
อัมพฤกษ์ เกิดจากการที่เนื้อสมองได้รับเลือดไม่เพียงพอ อันเนื่องมาจากความผิดปกติของหลอดเลือดแดง เช่น หลอดเลือดตีบแคบ อุดตัน หรือแตก ส่งผลให้เนื้อสมองถูกทำลายและเกิดอาการอ่อนแรงของร่างกาย
ประเภทอัมพาต – อัมพฤกษ์ สาเหตุ (โรคหลอดเลือดสมอง) ได้แก่
- โรคหลอดเลือดสมองตีบ (Ischemic Stroke) เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงสมอง ทำให้สมองขาดเลือดและออกซิเจน
- โรคหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke) เกิดจากการแตกของหลอดเลือดในสมอง ทำให้มีเลือดออกในเนื้อสมอง หรือบริเวณรอบ ๆ สมอง
โรคอัมพฤกษ์ อัมพาตเกิดจากอะไร?
- ความดันโลหิตสูง ทำให้หลอดเลือดเสื่อมและเสี่ยงแตก
- โรคเบาหวาน ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและตีบ
- ไขมันในเลือดสูง ทำให้เกิดไขมันไปเกาะที่ผนังหลอดเลือด
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ทำให้ลิ่มเลือดหลุดไปอุดตันหลอดเลือดในสมอง
- โรคหัวใจ โรคหัวใจบางชนิดอาจทำให้เกิดลิ่มเลือด
- การสูบบุหรี่ ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและตีบ
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
- อายุที่เพิ่มขึ้น ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ
- พันธุกรรม มีส่วนเกี่ยวข้องในการเกิดโรค
ปัจจัยเสี่ยงของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
- ความดันโลหิตสูง ทำให้หลอดเลือดเสื่อมและเสี่ยงแตก
- โรคเบาหวาน ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและตีบ
- ไขมันในเลือดสูง ทำให้เกิดไขมันไปเกาะที่ผนังหลอดเลือด
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ทำให้ลิ่มเลือดหลุดไปอุดตันหลอดเลือดในสมอง
- โรคหัวใจ โรคหัวใจบางชนิดอาจทำให้เกิดลิ่มเลือด
- การสูบบุหรี่ ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและตีบ
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
- อายุที่เพิ่มขึ้น ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ
- พันธุกรรม มีส่วนเกี่ยวข้องในการเกิดโรค
ปัจจัยเสี่ยงของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
ปัจจัยเสี่ยงของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
- ปัจจัยที่แก้ไขได้ ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, ไขมันในเลือดสูง, การสูบบุหรี่, การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, การออกกำลังกายน้อย
- ปัจจัยที่แก้ไขไม่ได้ อายุ, เพศ, เชื้อชาติ, ประวัติครอบครัว
ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
- ผู้สูงอายุ ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ
- ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, ไขมันในเลือดสูง
- ผู้สูบบุหรี่
- ผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
- ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ผู้ที่มีโรคหัวใจ
อาการของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต สัญญาณเตือนที่คุณไม่ควรพลาด
โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต การสังเกตอาการเบื้องต้นอย่างรวดเร็วและถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการรักษาที่ทันท่วงทีจะช่วยลดความเสียหายของสมองและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัว
อาการทั่วไปของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตคืออาการที่บ่งชี้ถึงโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ที่พบบ่อย ได้แก่
- ใบหน้าเบี้ยว ยิ้มไม่สมส่วน มุมปากตก
- แขนขาอ่อนแรง อัมพฤกษ์ ครึ่งซีกยกแขนขาข้างใดข้างหนึ่งไม่ได้ หรือรู้สึกชา
- พูดลำบาก พูดไม่ชัด หรือพูดไม่รู้เรื่อง
- มองเห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็น
- เวียนหัว วิงเวียน หรือเสียการทรงตัว
- ปวดศีรษะ ปวดศีรษะรุนแรงอย่างกะทันหัน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
อาการในระยะเริ่มต้น
อัมพฤกษ์ อาการเริ่มต้นอาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจมีอาการที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปแล้วจะพบอาการดังกล่าวข้างต้น
การสังเกตเบื้องต้น
หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการโรคหลอดเลือดสมองเหล่านี้ ควรรีบโทรเรียกหน่วยกู้ชีพทันที (หมายเลข 1669) หรือรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เพราะการรักษาที่รวดเร็วจะช่วยลดความเสียหายของสมองได้
วิธีฟื้นฟู ป้องกัน และรักษาอัมพฤกษ์ก่อนสายเกินไป
การฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพฤกษ์เป็นกระบวนการที่สำคัญและต้องใช้เวลา อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและปัจจัยอื่น ๆ วิธีการฟื้นฟูอัมพฤกษ์ที่พบบ่อย ได้แก่
- การใช้ยา เพื่อควบคุมภาวะสุขภาพที่เป็นปัจจัยเสี่ยงหรือผลกระทบจากอัมพฤกษ์ เช่น ความดันโลหิตสูงและเบาหวาน
- การบำบัดฟื้นฟู มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด ซึ่งประกอบด้วย:
- วิธีกายภาพบําบัด อัมพฤกษ์ มุ่งเน้นการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหว และการประสานงานของร่างกาย
- อาชีวบำบัด ช่วยฝึกทักษะที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวัน
- การบำบัดด้วยการพูด ฟื้นฟูความสามารถในการสื่อสาร ทั้งการพูดและการกลืน
- การผ่าตัด ในบางกรณีที่มีข้อบ่งชี้ อาจจำเป็นต้องทำการผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาทางกายภาพที่เกิดขึ้นจากภาวะอัมพฤกษ์
การป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด วิธีการป้องกันมีดังนี้
- ควบคุมปัจจัยเสี่ยง ควบคุมความดันโลหิต เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช ไม่รับประทานอาหารรสเค็มจัด มันจัด
- เลิกสูบบุหรี่ บุหรี่ทำลายหลอดเลือด
- ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อตรวจหาและรักษาโรคต่างๆ ที่เป็นปัจจัยเสี่ยง
อัมพฤกษ์ หายได้ไหม
ปัจจุบัน แม้ว่าภาวะอัมพฤกษ์และอัมพาตจะไม่สามารถรักษาให้หายกลับมาเป็นปกติได้อย่างสมบูรณ์ แต่การรักษาและการฟื้นฟูที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ร่างกายของผู้ป่วยฟื้นตัวได้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาและระดับของการฟื้นตัวจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สาเหตุของการเกิดอัมพฤกษ์ ขนาดของบริเวณสมองที่ได้รับความเสียหาย และความรวดเร็วในการเข้ารับการรักษา
สรุป
แม้ว่าอัมพฤกษ์จะเป็นโรคที่ร้ายแรง แต่ด้วยการรักษาและการฟื้นฟูที่เหมาะสม ผู้ป่วยหลายรายสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ หรือใกล้เคียงปกติได้ การมีกำลังใจและความหวังเป็นสิ่งสำคัญในการฟื้นตัว
WALK WELL – เดินได้เดินดี ศูนย์ดูแลผู้ป่วยหลอดเลือดสมองโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง ศูนย์ดูแลผู้ป่วยหลอดเลือดสมองโดยอายุรแพทย์ระบบประสาท และแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู มีโปรแกรมกายภาพบำบัด สามารถปรับตามได้ในแต่ละบุคคล และมีการประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม ติดต่อศูนย์ WALK WELL
คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับอัมพฤกษ์
อัมพฤกษ์ถือเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรงหรือไม่
อัมพฤกษ์สามารถฟื้นตัวได้ แต่ระยะเวลาและระดับการฟื้นตัวจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สาเหตุของอัมพฤกษ์ ขนาดของบริเวณสมองที่ได้รับความเสียหาย และความรวดเร็วในการรักษา
อัมพฤกษ์สามารถฟื้นตัวได้ แต่ระยะเวลาและระดับการฟื้นตัวจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สาเหตุของอัมพฤกษ์ ขนาดของบริเวณสมองที่ได้รับความเสียหาย และความรวดเร็วในการรักษา
การฟื้นฟูอัมพฤกษ์ใช้เวลานานเท่าไหร่
ระยะเวลาที่ใช้ในการฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพฤกษ์นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย และโดยทั่วไปแล้วกระบวนการนี้ต้องใช้เวลา หลายเดือนหรือหลายปี และอาจไม่สามารถฟื้นตัวได้สมบูรณ์เหมือนเดิม
ระยะเวลาที่ใช้ในการฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพฤกษ์นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย และโดยทั่วไปแล้วกระบวนการนี้ต้องใช้เวลา หลายเดือนหรือหลายปี และอาจไม่สามารถฟื้นตัวได้สมบูรณ์เหมือนเดิม
อัมพฤกษ์ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างไร
ผู้ป่วยอาจสูญเสียความสามารถในการทำงานหรือทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การแต่งตัว รับประทานอาหาร หรือเดินทาง หากไม่ได้ฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องอาจต้องพึ่งพาครอบครัวไปตลอดชีวิต
ผู้ป่วยอาจสูญเสียความสามารถในการทำงานหรือทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การแต่งตัว รับประทานอาหาร หรือเดินทาง หากไม่ได้ฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องอาจต้องพึ่งพาครอบครัวไปตลอดชีวิต
ผู้ที่เคยมีอัมพฤกษ์สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้หรือไม่
หากได้รับการรักษาทันเวลาและทำกายภาพบำบัดต่อเนื่อง โอกาสกลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติมีสูง แต่ต้องปรับพฤติกรรมและควบคุมปัจจัยเสี่ยงเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ
หากได้รับการรักษาทันเวลาและทำกายภาพบำบัดต่อเนื่อง โอกาสกลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติมีสูง แต่ต้องปรับพฤติกรรมและควบคุมปัจจัยเสี่ยงเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ