ไขมันในเลือดสูงเป็นหนึ่งในภัยเงียบที่หลายคนอาจไม่รู้ตัว เพราะมักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่สามารถนำไปสู่โรคเรื้อรังที่อันตราย เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง และความดันโลหิตสูงได้ในระยะยาว ภาวะนี้เกิดจากการสะสมของไขมันชนิดไม่ดีหรือไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือด ซึ่งหากไม่ดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ อาจทำให้หลอดเลือดตีบ แข็งตัว หรืออุดตันได้
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับไขมันในเลือดและคอเลสเตอรอลสูงอย่างละเอียด ทั้งความหมาย ประเภท สาเหตุที่ทำให้เกิดไขมันในเลือดสูง ผลกระทบต่อสุขภาพ ไปจนถึงวิธีตรวจวัด แนวทางการรักษา และการปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงในระยะยาวอย่างยั่งยืน
ไขมันในเลือดคืออะไร? รู้จักไขมันดี ไขมันร้าย และไตรกลีเซอไรด์
ไขมันในเลือด (Blood Lipids) คือไขมันที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อร่างกาย ทั้งในการเป็นแหล่งพลังงาน ช่วยสร้างเซลล์ และเป็นวัตถุดิบในการผลิตฮอร์โมนบางชนิด ไขมันเหล่านี้อาจมาจากอาหารที่รับประทาน หรือจากการที่ตับสร้างขึ้นเอง โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL), คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) และไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides)
คอเลสเตอรอลคืออะไร?
คอเลสเตอรอล (Cholesterol) เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่พบได้ในทุกเซลล์ของร่างกาย โดยตับสามารถผลิตคอเลสเตอรอลสูงขึ้นเอง และร่างกายยังได้รับจากอาหาร เช่น เนื้อสัตว์ ไข่แดง และผลิตภัณฑ์จากนม
1. คอเลสเตอรอลชนิดความหนาแน่นต่ำ (LDL) หรือ “ไขมันไม่ดี”
LDL (Low-Density Lipoprotein) คือไขมันชนิดที่สามารถสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือด หากมีมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดตีบ แคบ หรือแข็งตัว จนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือดและหลอดเลือดสมอง ค่าระดับ LDL ที่ถือว่าเสี่ยง คือมากกว่า 130 mg/dL
2. คอเลสเตอรอลชนิดความหนาแน่นสูง (HDL) หรือ “ไขมันดี”
HDL (High-Density Lipoprotein) คือไขมันที่มีหน้าที่ในการขนส่งคอเลสเตอรอลส่วนเกินกลับไปยังตับ เพื่อกำจัดออกจากร่างกาย จึงช่วยลดการสะสมของไขมันในหลอดเลือด และลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือด HDL ควรมีค่ามากกว่า 40 mg/dL สำหรับผู้ชาย และมากกว่า 50 mg/dL สำหรับผู้หญิง
3. ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides)
ไตรกลีเซอไรด์เป็นไขมันอีกประเภทหนึ่งที่ร่างกายได้รับจากอาหารหรือสร้างขึ้นจากคาร์โบไฮเดรตที่รับประทานเกินความจำเป็น หากมีมากเกินไปจะถูกสะสมไว้ในเนื้อเยื่อไขมัน และอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ ไขมันพอกตับ และตับอ่อนอักเสบ ระดับที่ถือว่าสูง คือมากกว่า 150 mg/dL
สำหรับคนทั่วไป LDL Cholesterol ค่าปกติควรน้อยกว่า 130 mg/dL แต่ถ้าต้องการลดความเสี่ยงของโรคร้ายโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง แนะนำให้ควบคุม LDL ให้อยู่ ต่ำกว่า 100 mg/dL หรือในบางรายอาจต้องให้ ต่ำกว่า 70 mg/dL ตามคำแนะนำของแพทย์
หาก LDL Cholesterol ค่าปกติที่วัดได้เกิน 160 mg/dL ถือว่าอยู่ในระดับสูง และควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนในอนาคต
ภาวะไขมันในเลือดสูงคืออะไร? อันตรายแค่ไหนถ้าไม่รีบรักษา
ภาวะไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidemia) คือ ภาวะที่ระดับไขมันในเลือดสูงเกินมาตรฐาน โดยอาจหมายถึงการมีคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) หรือไตรกลีเซอไรด์สูงกว่าค่าที่เหมาะสม หรือมีระดับไขมันทั้งสองชนิดสูงร่วมกัน ซึ่งภาวะนี้แม้ไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น แต่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เพิ่มโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองได้ในระยะยาว
ภาวะไขมันในเลือดสูงมีอาการหรือไม่?
ส่วนใหญ่แล้ว ไขมันในเลือดสูงไม่มีอาการชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัวจนกระทั่งเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น
- เจ็บหน้าอกเฉียบพลันจากโรคหัวใจขาดเลือด
- เวียนศีรษะจากหลอดเลือดสมองตีบ
- หายใจไม่สะดวกจากภาวะหลอดเลือดตีบแคบ
- ในบางราย อาจเกิดภาวะหัวใจวายหรือหลอดเลือดอุดตันโดยไม่ทันตั้งตัว
- อาการไขมันในเลือดสูง อาจทำให้เวียนหัวได้
ดังนั้น การตรวจสุขภาพเป็นประจำจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น อายุเกิน 35 ปี มีประวัติโรคหัวใจในครอบครัว หรือมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
ภาวะไขมันในเลือดสูงอันตรายแค่ไหน?
หากปล่อยไว้โดยไม่รับการรักษา ภาวะไขมันในเลือดสูงอาจนำไปสู่โรคร้ายแรงหลายชนิด เช่น
- โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ: เกิดจากไขมันสะสมในผนังหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจลดลง
- โรคหัวใจวาย: หากหลอดเลือดหัวใจอุดตัน อาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเสียหายและหยุดทำงานเฉียบพลัน
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke): ไขมันสะสมในหลอดเลือดสมอง อาจนำไปสู่อาการอัมพฤกษ์หรืออัมพาต
- ความดันโลหิตสูง: ไขมันที่สะสมทำให้หลอดเลือดแข็งและแคบ หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น
- ตับอ่อนอักเสบและไขมันพอกตับ: โดยเฉพาะในผู้ที่มีไตรกลีเซอไรด์สูงมากกว่า 500 mg/dL
- โรคหลอดเลือดส่วนปลายอุดตัน: ส่งผลให้เกิดอาการปวดขา เป็นแผลหายช้า หรือรุนแรงถึงขั้นต้องตัดอวัยวะ
สาเหตุของไขมันในเลือดสูง มีอะไรบ้าง? ปัจจัยเสี่ยงที่ควรระวัง
ไขมันในเลือดสูง ถือเป็นภาวะสุขภาพที่เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต พันธุกรรม และโรคประจำตัว ซึ่งบางปัจจัยสามารถควบคุมหรือปรับเปลี่ยนได้ แต่บางปัจจัยก็อาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงจะช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม
ปัจจัยที่สามารถควบคุมได้
ปัจจัยเหล่านี้เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน หากมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะไขมันในเลือดสูงได้อย่างมาก
- การรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์สูง เช่น อาหารทอด ฟาสต์ฟู้ด ขนมอบ เนยเทียม น้ำมันปาล์ม และผลิตภัณฑ์จากไขมันสัตว์ ล้วนส่งผลให้ระดับ LDL (ไขมันไม่ดี) สูงขึ้น
- บริโภคน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตขัดสีมากเกินไป น้ำตาลส่วนเกินในร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นไขมันชนิดหนึ่งที่สะสมในเลือดได้ง่าย
- การไม่ออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้น้อยลง ส่งผลให้ระดับไขมันในเลือดสูงขึ้น และระดับ HDL (ไขมันดี) ต่ำลง
- การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ทำให้ HDL ลดลง ส่วนแอลกอฮอล์สามารถเพิ่มระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้ หากบริโภคในปริมาณมาก
ปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้
แม้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่การทราบปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้เฝ้าระวังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- พันธุกรรม หากมีสมาชิกในครอบครัวที่มีประวัติไขมันในเลือดสูงหรือโรคหัวใจ ความเสี่ยงของบุคคลนั้นก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญของร่างกายจะทำงานช้าลง ส่งผลให้การควบคุมระดับไขมันในเลือดยากขึ้น
- เพศ ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะมีไขมันในเลือดสูงมากกว่าผู้หญิงในช่วงวัยเจริญพันธุ์ อย่างไรก็ตาม หลังวัยหมดประจำเดือน ความเสี่ยงในผู้หญิงจะเพิ่มขึ้น
- โรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคตับ โรคไต และภาวะไทรอยด์ต่ำ มีผลโดยตรงต่อการเผาผลาญไขมันในร่างกาย
วิธีตรวจวัดไขมันในเลือด และการแปลผลค่าที่ควรรู้
การตรวจวัดไขมันในเลือด (Lipid Profile) เป็นการตรวจสุขภาพที่สำคัญ เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุเกิน 35 ปี หรือมีปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ การตรวจนี้สามารถช่วยให้รู้ระดับไขมันแต่ละชนิดในเลือด และเป็นแนวทางในการป้องกันหรือรักษาภาวะไขมันในเลือดสูงได้ตั้งแต่ระยะแรก
วิธีการตรวจไขมันในเลือด
การตรวจไขมันในเลือดทำได้โดยการเจาะเลือด ซึ่งอาจต้องงดอาหารอย่างน้อย 8-12 ชั่วโมงก่อนตรวจ โดยผลที่ได้จะประกอบด้วยค่าหลัก ๆ ดังนี้
- คอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol) เป็นการวัดปริมาณคอเลสเตอรอลทั้งหมดในเลือด รวมทั้ง LDL, HDL และส่วนหนึ่งของไตรกลีเซอไรด์
- LDL (Low-Density Lipoprotein) หรือไขมันไม่ดี หากมีมากเกินไป จะสะสมที่ผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบและแข็ง
- HDL (High-Density Lipoprotein) หรือไขมันดี ช่วยขนส่งคอเลสเตอรอลส่วนเกินจากหลอดเลือดกลับไปยังตับ เพื่อกำจัดออกจากร่างกาย
- ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) เป็นไขมันที่ได้จากอาหารหรือเกิดจากการเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินในร่างกาย หากมีระดับสูงจะเพิ่มความเสี่ยงของตับอ่อนอักเสบและโรคหัวใจ
วิธีลดไขมันในเลือด ปรับพฤติกรรมให้ถูกทาง ลดเสี่ยงโรคร้าย
การมีไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะระดับ LDL และไตรกลีเซอไรด์ที่เกินมาตรฐาน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง และตับอ่อนอักเสบ แม้จะยังไม่มีอาการในช่วงแรก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ดูแล อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้ การเริ่มต้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจึงเป็นวิธีสำคัญในการควบคุมระดับไขมันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
1. ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
- หลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ เช่น อาหารทอด ฟาสต์ฟู้ด เนยเทียม ครีมเทียม มันหมู และหนังไก่ เพราะไขมันเหล่านี้เพิ่มระดับ LDL
- เพิ่มใยอาหารในมื้ออาหาร ผัก ผลไม้ และธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวกล้อง ถั่ว และเมล็ดพืช ช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอล
- เลือกโปรตีนคุณภาพดี เช่น เนื้อปลา (โดยเฉพาะปลาที่มีโอเมก้า-3 อย่างแซลมอน ทูน่า แมคเคอเรล), เต้าหู้ และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
- ลดน้ำตาลและแป้งขัดขาว น้ำตาลส่วนเกินจะถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ ควรหลีกเลี่ยงขนมหวาน น้ำอัดลม และข้าวขาว
- ใช้น้ำมันเพื่อสุขภาพ เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก และน้ำมันคาโนลา แทนน้ำมันปาล์มหรือน้ำมันหมู
2. ออกกำลังกายเป็นประจำ
- ควรออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 5 วัน
- การออกกำลังกายช่วย ลด LDL และ เพิ่ม HDL ซึ่งเป็นไขมันดีที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
3. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
- การลดน้ำหนักเพียง 5-10% ของน้ำหนักตัว สามารถช่วยลดระดับ LDL และไตรกลีเซอไรด์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
4. งดสูบบุหรี่ และจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
- การสูบบุหรี่ ลดระดับ HDL (ไขมันดี) และทำให้หลอดเลือดเสื่อมเร็วขึ้น
- แอลกอฮอล์ หากบริโภคมากเกินไป จะเพิ่มไตรกลีเซอไรด์ และเสี่ยงตับอ่อนอักเสบ
5. จัดการความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
- ความเครียดเรื้อรังส่งผลต่อฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งอาจกระตุ้นการสะสมไขมัน
- การนอนหลับให้พอ (6-8 ชั่วโมง/วัน) ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญและฟื้นฟูได้ดียิ่งขึ้น
รักษาไขมันในเลือดสูงด้วยยา ปลอดภัยหรือไม่? เหมาะกับใครบ้าง
- ควรออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 5 วัน
- การออกกำลังกายช่วย ลด LDL และ เพิ่ม HDL ซึ่งเป็นไขมันดีที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
3. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
- การลดน้ำหนักเพียง 5-10% ของน้ำหนักตัว สามารถช่วยลดระดับ LDL และไตรกลีเซอไรด์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
4. งดสูบบุหรี่ และจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
- การสูบบุหรี่ ลดระดับ HDL (ไขมันดี) และทำให้หลอดเลือดเสื่อมเร็วขึ้น
- แอลกอฮอล์ หากบริโภคมากเกินไป จะเพิ่มไตรกลีเซอไรด์ และเสี่ยงตับอ่อนอักเสบ
5. จัดการความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
- ความเครียดเรื้อรังส่งผลต่อฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งอาจกระตุ้นการสะสมไขมัน
- การนอนหลับให้พอ (6-8 ชั่วโมง/วัน) ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญและฟื้นฟูได้ดียิ่งขึ้น
รักษาไขมันในเลือดสูงด้วยยา ปลอดภัยหรือไม่? เหมาะกับใครบ้าง
- การสูบบุหรี่ ลดระดับ HDL (ไขมันดี) และทำให้หลอดเลือดเสื่อมเร็วขึ้น
- แอลกอฮอล์ หากบริโภคมากเกินไป จะเพิ่มไตรกลีเซอไรด์ และเสี่ยงตับอ่อนอักเสบ
5. จัดการความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
- ความเครียดเรื้อรังส่งผลต่อฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งอาจกระตุ้นการสะสมไขมัน
- การนอนหลับให้พอ (6-8 ชั่วโมง/วัน) ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญและฟื้นฟูได้ดียิ่งขึ้น
รักษาไขมันในเลือดสูงด้วยยา ปลอดภัยหรือไม่? เหมาะกับใครบ้าง
การรักษาไขมันในเลือดสูงไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยการใช้ยาเสมอไป หากสามารถควบคุมด้วยการปรับพฤติกรรมก็ถือว่าเพียงพอในหลายกรณี อย่างไรก็ตาม เมื่อระดับไขมันในเลือดสูงเกินเกณฑ์ปกติหรือมีความเสี่ยงโรคหัวใจร่วมด้วย แพทย์อาจพิจารณาให้ ยาลดไขมันในเลือด เพื่อควบคุมระดับไขมันให้อยู่ในระดับปลอดภัย ป้องกันโรคร้ายที่อาจเกิดตามมา
ยาลดไขมันในเลือดคืออะไร?
ยาลดไขมันในเลือดเป็นกลุ่มยาที่ใช้เพื่อลดระดับไขมันชนิดไม่ดี เช่น LDL (ไขมันไม่ดี) และ ไตรกลีเซอไรด์ พร้อมทั้งช่วยเพิ่ม HDL (ไขมันดี) ให้สูงขึ้น โดยออกฤทธิ์ต่อกระบวนการสร้างหรือดูดซึมไขมันในร่างกาย ยากลุ่มหลักที่ใช้ ได้แก่
- Statins (เช่น Atorvastatin, Rosuvastatin) ช่วยลด LDL ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- Fibrates (เช่น Fenofibrate, Gemfibrozil) ใช้ลดไตรกลีเซอไรด์และเพิ่ม HDL
- Ezetimibe ลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลสูงจากอาหาร
- Niacin (วิตามินบี 3) ช่วยลดทั้ง LDL และไตรกลีเซอไรด์ (แต่มีผลข้างเคียงมาก)
- Omega-3 (น้ำมันปลา) ในขนาดสูง มีผลลดไตรกลีเซอไรด์
- PCSK9 Inhibitors ใช้ในกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อ Statins
ใครบ้างที่ควรใช้ยาลดไขมันในเลือด?
แพทย์จะพิจารณาการใช้ยาลดไขมันในกรณีที่
- LDL สูงเกิน 190 mg/dL เพราะปกติ LDL ค่าปกติจะน้อยกว่า 130 mg/dL
- ไตรกลีเซอไรด์สูงเกิน 500 mg/dL
- HDL ต่ำกว่าค่าปกติ (ต่ำกว่า 40 mg/dL ในผู้ชาย หรือต่ำกว่า 50 mg/dL ในผู้หญิง)
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน หรือโรคหลอดเลือดหัวใจ
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจหรือหลอดเลือดอุดตัน
- ผู้ที่ไม่สามารถควบคุมระดับไขมันด้วยการปรับพฤติกรรมเพียงอย่างเดียว
ยาลดไขมันในเลือดปลอดภัยหรือไม่?
โดยทั่วไป ยาลดไขมันในเลือดถือว่าปลอดภัย หากใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงที่ควรระวัง เช่น
- ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนแรง หรือเกิดภาวะกล้ามเนื้อสลาย (ในกลุ่ม Statins)
- ท้องอืด คลื่นไส้ และค่าเอนไซม์ตับเพิ่มขึ้น
- เสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี (ในกลุ่ม Fibrates)
- ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น (Niacin)
นอกจากนี้ ยาบางชนิดไม่เหมาะสำหรับ
- หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
- ผู้ป่วยโรคตับหรือโรคไตรุนแรง
- ผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากการใช้ Statins มาก่อน
- ผู้ที่ใช้ยาอื่นที่อาจมีปฏิกิริยากับยาลดไขมัน
WALK WELL – เดินได้เดินดี ศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยหลอดเลือดสมองโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง ศูนย์ดูแลผู้ป่วยหลอดเลือดสมองโดยอายุรแพทย์ระบบประสาท และแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู มีโปรแกรมกายภาพบำบัด สามารถปรับตามได้ในแต่ละบุคคล และมีการประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม ติดต่อศูนย์ WALK WELL
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไขมันในเลือดสูง
ไขมันในเลือดสูงคืออะไร
ภาวะไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidemia) คือภาวะที่ระดับไขมันบางชนิดในเลือดสูงเกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งอาจสะสมที่ผนังหลอดเลือดและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง
ภาวะไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidemia) คือภาวะที่ระดับไขมันบางชนิดในเลือดสูงเกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งอาจสะสมที่ผนังหลอดเลือดและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง
ภาวะไขมันในเลือดสูงเกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดสมองอย่างไร
อาการไขมันในเลือดสูง ส่งผลให้เกิดการเวียนหัวทำให้ไขมันสะสมในหลอดเลือดสมอง หากเกิดการอุดตันจะทำให้สมองขาดเลือดและออกซิเจน นำไปสู่โรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก ซึ่งอาจทำให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตได้
อาการไขมันในเลือดสูง ส่งผลให้เกิดการเวียนหัวทำให้ไขมันสะสมในหลอดเลือดสมอง หากเกิดการอุดตันจะทำให้สมองขาดเลือดและออกซิเจน นำไปสู่โรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก ซึ่งอาจทำให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตได้
สามารถควบคุมไขมันในเลือดได้อย่างไร
สามารถควบคุมได้ด้วยการปรับพฤติกรรม เช่น รับประทานอาหารที่มีไขมันดีและใยอาหารสูง ออกกำลังกายเป็นประจำ ควบคุมน้ำหนัก และงดสูบบุหรี่และจำกัดแอลกอฮอล์ เพราะหากไม่เพียงพอ อาจต้องใช้ยาลดไขมันภายใต้คำแนะนำของแพทย์
สามารถควบคุมได้ด้วยการปรับพฤติกรรม เช่น รับประทานอาหารที่มีไขมันดีและใยอาหารสูง ออกกำลังกายเป็นประจำ ควบคุมน้ำหนัก และงดสูบบุหรี่และจำกัดแอลกอฮอล์ เพราะหากไม่เพียงพอ อาจต้องใช้ยาลดไขมันภายใต้คำแนะนำของแพทย์
อาหารชนิดใดช่วยลดไขมันในเลือดได้บ้าง
อาหารที่ช่วยลดไขมันในเลือด ได้แก่
1. ปลาทะเล เช่น แซลมอน ปลาทู ซึ่งมีโอเมก้า-3
2. ผัก ผลไม้ และธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ข้าวโอ๊ต ถั่วต่าง ๆ
3. น้ำมันดี เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว
4. อาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น เม็ดแมงลัก ฝรั่ง ส้ม และควรหลีกเลี่ยงอาหารทอด ไขมันทรานส์ และน้ำตาลสูง
อาหารที่ช่วยลดไขมันในเลือด ได้แก่
1. ปลาทะเล เช่น แซลมอน ปลาทู ซึ่งมีโอเมก้า-3
2. ผัก ผลไม้ และธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ข้าวโอ๊ต ถั่วต่าง ๆ
3. น้ำมันดี เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว
4. อาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น เม็ดแมงลัก ฝรั่ง ส้ม และควรหลีกเลี่ยงอาหารทอด ไขมันทรานส์ และน้ำตาลสูง
การใช้ยาลดไขมันมีผลข้างเคียงหรือไม่
ยาลดไขมัน เช่น Statins หรือ Fibrates อาจมีผลข้างเคียง เช่น ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ หรือตับอักเสบในบางราย อย่างไรก็ตาม ยาเหล่านี้ปลอดภัยหากใช้อย่างเหมาะสมและได้รับการติดตามผลโดยแพทย์
ยาลดไขมัน เช่น Statins หรือ Fibrates อาจมีผลข้างเคียง เช่น ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ หรือตับอักเสบในบางราย อย่างไรก็ตาม ยาเหล่านี้ปลอดภัยหากใช้อย่างเหมาะสมและได้รับการติดตามผลโดยแพทย์
คอเลสเตอรอลปกติเท่าไหร่
ค่าคอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol) ที่อยู่ในเกณฑ์ปกติควร น้อยกว่า 200 mg/dL หากมีค่าระหว่าง 200–239 mg/dL ถือว่าอยู่ในช่วงเสี่ยง และหากเกิน 240 mg/dL จัดว่าอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
ค่าคอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol) ที่อยู่ในเกณฑ์ปกติควร น้อยกว่า 200 mg/dL หากมีค่าระหว่าง 200–239 mg/dL ถือว่าอยู่ในช่วงเสี่ยง และหากเกิน 240 mg/dL จัดว่าอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
คอเลสเตอรอลสูง เท่า ไหร่ อันตราย
หากคอเลสเตอรอลรวมมากกว่า 240 mg/dL หรือมีค่า LDL (ไขมันไม่ดี) มากกว่า 160 mg/dL ถือว่าอยู่ในระดับสูง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดสมองตีบ และหลอดเลือดแดงแข็งตัว โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือปัจจัยเสี่ยงอื่นร่วมด้วย
หากคอเลสเตอรอลรวมมากกว่า 240 mg/dL หรือมีค่า LDL (ไขมันไม่ดี) มากกว่า 160 mg/dL ถือว่าอยู่ในระดับสูง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดสมองตีบ และหลอดเลือดแดงแข็งตัว โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือปัจจัยเสี่ยงอื่นร่วมด้วย
ไขมันในเลือดสูง ห้ามกินอะไรบ้าง
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์สูง เช่น
1. อาหารทอด น้ำมันใช้ซ้ำ ฟาสต์ฟู้ด
2. เครื่องในสัตว์ หนังไก่ มันหมู
3. เนยเทียม ครีมเทียม ขนมอบสำเร็จรูป
4. อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่แดง ตับ หอยนางรม
5. ขนมหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง เพราะน้ำตาลส่วนเกินจะเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์สูง เช่น
1. อาหารทอด น้ำมันใช้ซ้ำ ฟาสต์ฟู้ด
2. เครื่องในสัตว์ หนังไก่ มันหมู
3. เนยเทียม ครีมเทียม ขนมอบสำเร็จรูป
4. อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่แดง ตับ หอยนางรม
5. ขนมหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง เพราะน้ำตาลส่วนเกินจะเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์
ไขมันในเลือดสูง เท่าไหร่ ต้องกินยา
แพทย์จะพิจารณาให้ยาลดไขมันในกรณีที่
1. LDL มากกว่า 190 mg/dL
2. ไตรกลีเซอไรด์มากกว่า 500 mg/dL
3. มีความเสี่ยงสูง เช่น เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือหลอดเลือดอุดตัน
4. ควบคุมอาหารและออกกำลังกายแล้ว แต่ไขมันในเลือดยังไม่ลดลง โดยการใช้ยาจะอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด
แพทย์จะพิจารณาให้ยาลดไขมันในกรณีที่
1. LDL มากกว่า 190 mg/dL
2. ไตรกลีเซอไรด์มากกว่า 500 mg/dL
3. มีความเสี่ยงสูง เช่น เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือหลอดเลือดอุดตัน
4. ควบคุมอาหารและออกกำลังกายแล้ว แต่ไขมันในเลือดยังไม่ลดลง โดยการใช้ยาจะอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด