ภาวะกลืนลำบากเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ การฝึกกลืนอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการฟื้นฟูความสามารถในการรับประทานอาหารได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการฟื้นฟูภาวะกลืนลำบาก และสิ่งที่ผู้ป่วยและผู้ดูแลควรรู้
ฝึกกลืนคืออะไร? สำคัญอย่างไรกับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
ฝึกกลืน คือ กระบวนการบำบัดและฟื้นฟูความสามารถในการกลืนอาหาร น้ำ และยา อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อป้องกันการสำลัก ลดความเสี่ยงต่อภาวะปอดอักเสบจากการสำลัก และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมารับประทานอาหารทางปากได้อย่างเหมาะสม
ทำไมผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองถึงมีปัญหาในการกลืน?
ผู้ป่วย Stroke โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสียหายของเส้นเลือดสมองบริเวณ “Middle Cerebral Artery (MCA)” ซึ่งควบคุมการเคลื่อนไหวของใบหน้า ลิ้น และลำคอ จะทำให้กล้ามเนื้อเหล่านี้อ่อนแรง ส่งผลให้การกลืนผิดปกติ เช่น กลืนช้า สะดุด หรือสำลักได้ง่าย ท่าฝึกกลืนจึงมีความสำคัญ ดังนี้
- ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ลดความเสี่ยงของการสำลักอาหารหรือน้ำลงปอด ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะปอดอักเสบจากการสำลัก (Aspiration Pneumonia) ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต
- ปรับปรุงภาวะโภชนาการ ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารทางปากได้อย่างเพียงพอ ทำให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูร่างกาย
- เพิ่มคุณภาพชีวิต ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีความสุขกับการรับประทานอาหารร่วมกับครอบครัวและลดความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการกลืนอาหารลำบาก
- ฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อ เสริมสร้างความแข็งแรงและการประสานงานของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการเคี้ยวและการกลืน
ใครควรเป็นผู้ดูแลการฝึกกลืนของผู้ป่วย Stroke?
ผู้เชี่ยวชาญหลักในการดูแลการกลืนคือนักกิจกรรมบำบัด (Occupational Therapist) ซึ่งจะทำหน้าที่ประเมิน วิเคราะห์ และฝึกการกลืนตามสภาพผู้ป่วย โดยอาจร่วมมือกับนักกายภาพบำบัดและแพทย์เฉพาะทางด้านระบบประสาท
เวชศาสตร์ฟื้นฟู ฟื้นฟูความสามารถจากปัญหากลืนลำบากเป็นส่วนหนึ่งของเวชศาสตร์ฟื้นฟู โดยทีมสหวิชาชีพจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการประเมิน วางแผน และดำเนินการฝึกกลืน ดังนี้
- นักกิจกรรมบำบัด จะประเมินความสามารถในการรับประทานอาหารในชีวิตประจำวัน แนะนำอาหารฝึกกลืนที่เหมาะสม และสอนฝึกกลืน กิจกรรมบําบัด เพื่อปรับวิธีการรับประทานอาหารและใช้เครื่องมือช่วย (ถ้าจำเป็น)
- แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู จะวินิจฉัย ติดตามความคืบหน้า และปรับแผนการรักษา
- นักโภชนาการ จะประเมินภาวะโภชนาการ และแนะนำอาหารที่ไม่ต้องเคี้ยว หรืออาหารที่มีเนื้อสัมผัสที่เหมาะสม รวมถึงให้คำแนะนำด้านโภชนาการที่จำเป็น
การฝึกกลืน…ช่วยอะไร? ให้กับผู้ป่วยบ้าง
การฝึกกลืนมีประโยชน์มากมายสำหรับผู้ที่มีปัญหากลืนอาหารลำบาก หรือมี ภาวะกลืนลำบาก ดังนี้
- ปรับปรุงความปลอดภัยในการกลืน เรียนรู้เทคนิคและท่าทางที่ช่วยลดความเสี่ยงในการสำลัก
- เพิ่มประสิทธิภาพในการกลืน เสริมสร้างความแข็งแรงและการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการกลืน
- ขยายประเภทอาหารที่สามารถรับประทานได้ ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนระดับ อาหารฝึกกลืน เพื่อให้สามารถรับประทานอาหารได้หลากหลายมากขึ้น
- ลดการพึ่งพาการให้อาหารทางสายยาง ในบางกรณี การฝึกกลืนอย่างต่อเนื่องอาจช่วยให้ผู้ป่วยกลับมารับประทานอาหารทางปากได้ทั้งหมด
- ส่งเสริมความมั่นใจและอิสระ ช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกมั่นใจในการรับประทานอาหารและสามารถเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการรับประทานอาหารได้มากขึ้น
ปัญหาของการกลืนและวิธีการตรวจ
อาการที่พบบ่อย
- กลืนติด กลืนไม่หมด
- สำลักอาหารหรือเครื่องดื่ม
- ไอระหว่างหรือหลังกลืน
- มีของค้างในลำคอ หรืออาหารลงผิดทาง (เข้าสู่หลอดลมแทนหลอดอาหาร)
วิธีการตรวจ
- ตรวจสังเกตอาการขณะกลืนและการเคลื่อนไหวของลูกกระเดือก
- ตรวจออกซิเจนในเลือดหลังกลืน
- ตรวจกลืนด้วยกล้องส่อง (FEES: Fiberoptic Endoscopic Evaluation of Swallowing)
- ตรวจกลืนโดยใช้การเอกซเรย์ (VFSS: Videofluoroscopic Swallow Study)
การรักษาเรื่องการกลืนมีอะไรบ้าง? และวิธีการฝึกกลืน
- ตรวจสังเกตอาการขณะกลืนและการเคลื่อนไหวของลูกกระเดือก
- ตรวจออกซิเจนในเลือดหลังกลืน
- ตรวจกลืนด้วยกล้องส่อง (FEES: Fiberoptic Endoscopic Evaluation of Swallowing)
- ตรวจกลืนโดยใช้การเอกซเรย์ (VFSS: Videofluoroscopic Swallow Study)
การรักษาเรื่องการกลืนมีอะไรบ้าง? และวิธีการฝึกกลืน
1. การฟื้นฟู (Rehabilitation)
- ฝึกกล้ามเนื้อรอบปาก ลิ้น คอหอย
- ใช้การกระตุ้นไฟฟ้าหรือแม่เหล็ก
- ฝึกกลืนโดยนักกิจกรรมบำบัดร่วมกับนักกายภาพ
2. การชดเชย (Compensatory Technique)
- ปรับท่าทางขณะกลืน เช่น หันหน้าไปฝั่งที่ไม่อ่อนแรง
- ปรับประเภทและความหนืดของอาหารโดยใช้แนวทางจาก IDDSI (International Dysphagia Diet Standardisation Initiative) ซึ่งแบ่งเนื้อสัมผัสอาหาร/เครื่องดื่มเป็นระดับต่าง ๆ เช่น
- ระดับ 0 ของเหลวใส เช่น น้ำเปล่า
- ระดับ 1-3 ของเหลวข้น
- ระดับ 4-7 อาหารบดจนถึงของแข็ง
3. ท่าบริหารกล้ามเนื้อช่องปาก ที่ใช้ในการกลืนเบื้องต้น (ท่าฝึกกลืน)
ท่าฝึกกลืนและการฝึกกล้ามเนื้อในช่องปากเป็นส่วนสำคัญของการฟื้นฟูภาวะกลืนลำบาก โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความแข็งแรง การเคลื่อนไหว และการประสานงานของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการเคี้ยวและการกลืน ตัวอย่างท่าบริหารเบื้องต้น ได้แก่
การบริหารริมฝีปาก
- ห่อและยื่นริมฝีปาก
- ยิ้มกว้าง
- สลับห่อและยิ้ม
- เม้มริมฝีปากให้แน่น
การบริหารลิ้น
- แลบลิ้นออกมาตรง ๆ
- แลบลิ้นขึ้นลง
- แลบลิ้นซ้ายขวา
- แตะปลายลิ้นที่เพดานปากด้านหน้า
- กวาดลิ้นรอบริมฝีปาก
การบริหารกราม
- อ้าและหุบปากช้า ๆ
- ขยับกรามไปด้านข้าง
- บดฟันเบา ๆ ค้างไว้
เทคนิคการกลืน
- Chin Tuck ก้มศีรษะเล็กน้อยขณะกลืน เพื่อป้องกันอาหารไหลลงหลอดลม
- Effortful Swallow กลืนโดยออกแรงกล้ามเนื้อคอมากขึ้น
- Mendelsohn Maneuver ขณะกลืน ให้ยกและค้างลูกกระเดือกไว้ชั่วครู่
อาหารที่ควรระวังสำหรับผู้ป่วยเส้นเลือดสมองที่มีปัญหาการกลืน
- แลบลิ้นออกมาตรง ๆ
- แลบลิ้นขึ้นลง
- แลบลิ้นซ้ายขวา
- แตะปลายลิ้นที่เพดานปากด้านหน้า
- กวาดลิ้นรอบริมฝีปาก
การบริหารกราม
- อ้าและหุบปากช้า ๆ
- ขยับกรามไปด้านข้าง
- บดฟันเบา ๆ ค้างไว้
เทคนิคการกลืน
- Chin Tuck ก้มศีรษะเล็กน้อยขณะกลืน เพื่อป้องกันอาหารไหลลงหลอดลม
- Effortful Swallow กลืนโดยออกแรงกล้ามเนื้อคอมากขึ้น
- Mendelsohn Maneuver ขณะกลืน ให้ยกและค้างลูกกระเดือกไว้ชั่วครู่
อาหารที่ควรระวังสำหรับผู้ป่วยเส้นเลือดสมองที่มีปัญหาการกลืน
- Chin Tuck ก้มศีรษะเล็กน้อยขณะกลืน เพื่อป้องกันอาหารไหลลงหลอดลม
- Effortful Swallow กลืนโดยออกแรงกล้ามเนื้อคอมากขึ้น
- Mendelsohn Maneuver ขณะกลืน ให้ยกและค้างลูกกระเดือกไว้ชั่วครู่
อาหารที่ควรระวังสำหรับผู้ป่วยเส้นเลือดสมองที่มีปัญหาการกลืน
อาหารฝึกกลืนที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นพิเศษ ได้แก่
- อาหารที่มีน้ำและของแข็งผสมกัน เช่น ลอดช่อง ข้าวต้ม ก๋วยเตี๋ยวน้ำ
- อาหารที่มีเนื้อสัมผัสไม่สม่ำเสมอ เช่น กล้วยน้ำว้า หรือของทอดที่ข้างนอกแข็งแต่ข้างในนิ่ม
- น้ำเปล่า หรือของเหลวใส ซึ่งไหลเร็วและมีโอกาสสำลักสูงกว่าของหนืด
ใครบ้างที่ต้องรับการฝึกกลืน?
ผู้ที่ควรได้รับการประเมินและรับการฝึกกลืน ได้แก่
- ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
- ผู้ที่มีภาวะทางระบบประสาท เช่น พาร์กินสัน อัลไซเมอร์
- ผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บที่ศีรษะและลำคอ
- ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดบริเวณศีรษะและลำคอ
- ผู้สูงอายุที่มีภาวะกลืนลำบาก
- ผู้ที่มีอาการสำลักบ่อย ไอขณะรับประทานอาหาร หรือมีอาหารตกค้างในช่องปาก
ผู้ป่วย Stroke ที่มีปัญหาในการกลืนสามารถกลับมากลืนได้ปกติหรือไม่?
ผู้ป่วยสามารถกลับมากลืนอาหารได้ในระดับหนึ่ง โดยอาจต้องปรับรูปแบบอาหารและฝึกฝนต่อเนื่อง ผู้ที่ได้รับการฝึกฟื้นฟูอย่างเหมาะสมในช่วง 6 เดือนแรก จะมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวเต็มที่หรือไม่ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของสมองที่เสียหายและความรุนแรงของโรค
WALK WELL – เดินได้เดินดี ศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยหลอดเลือดสมองโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง ศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยหลอดเลือดสมองโดยอายุรแพทย์ระบบประสาท และแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู มีโปรแกรมกายภาพบำบัด สามารถปรับตามได้ในแต่ละบุคคล และมีการประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ ติดต่อศูนย์ WALK WELL
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ฝึกกลืน
การฝึกกลืนที่บ้านสำหรับผู้ป่วย Stroke ทำได้อย่างไร
สามารถทำได้โดยการฝึกท่าฝึกกลืน และการฝึกกล้ามเนื้อในช่องปากที่นักบำบัดแนะนำอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการปรับอาหารฝึกกลืนให้เหมาะสมกับระดับความสามารถในการกลืน อย่างไรก็ตาม ควรมีการติดตามและประเมินผลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญอย่างต่อเนื่อง
สามารถทำได้โดยการฝึกท่าฝึกกลืน และการฝึกกล้ามเนื้อในช่องปากที่นักบำบัดแนะนำอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการปรับอาหารฝึกกลืนให้เหมาะสมกับระดับความสามารถในการกลืน อย่างไรก็ตาม ควรมีการติดตามและประเมินผลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญอย่างต่อเนื่อง
สัญญาณบอกเหตุ “กลืนลำบาก/เสี่ยงสำลัก” มีอะไรบ้าง
ไอหรือสำลักทันทีหลังกลืน เสียงแหบ/เสียงเปียกหลังดื่มน้ำ น้ำลายหรือเศษอาหารค้างในปาก เคี้ยวนานกว่าปกติ น้ำตาไหล/หน้าแดงเวลากลืน หายใจลำบาก หรือไข้เรื้อรังโดยหาสาเหตุไม่พบ (สงสัยสำลักเงียบ) พบข้อใดข้อหนึ่งควรหยุดให้อาหารและประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ
ไอหรือสำลักทันทีหลังกลืน เสียงแหบ/เสียงเปียกหลังดื่มน้ำ น้ำลายหรือเศษอาหารค้างในปาก เคี้ยวนานกว่าปกติ น้ำตาไหล/หน้าแดงเวลากลืน หายใจลำบาก หรือไข้เรื้อรังโดยหาสาเหตุไม่พบ (สงสัยสำลักเงียบ) พบข้อใดข้อหนึ่งควรหยุดให้อาหารและประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ
ผลลัพธ์จากการฝึกกลืนจะเห็นได้ภายในระยะเวลาเท่าไร
ระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์จากการฝึกกลืนจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของภาวะกลืนลำบาก ความสม่ำเสมอในการฝึก และความร่วมมือของผู้ป่วยและผู้ดูแล โดยทั่วไป อาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนจึงจะเห็นพัฒนาการที่ชัดเจน การติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่องโดยทีมผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญในการปรับแผนการรักษาให้เหมาะสม
ระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์จากการฝึกกลืนจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของภาวะกลืนลำบาก ความสม่ำเสมอในการฝึก และความร่วมมือของผู้ป่วยและผู้ดูแล โดยทั่วไป อาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนจึงจะเห็นพัฒนาการที่ชัดเจน การติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่องโดยทีมผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญในการปรับแผนการรักษาให้เหมาะสม
ดูแลช่องปากทำไมถึงสำคัญกับการฝึกกลืน
ช่องปากที่สะอาดลดเชื้อโรคหลุดเข้าปอดเมื่อตกสำลัก ลดปอดอักเสบ แปรงฟัน/ทำความสะอาดช่องปาก อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หลังอาหารทุกมื้อใช้ผ้าก๊อซชุบน้ำเช็ดเศษอาหารบริเวณกระพุ้งแก้ม–ลิ้น โดยเฉพาะผู้ที่อมอาหาร
ช่องปากที่สะอาดลดเชื้อโรคหลุดเข้าปอดเมื่อตกสำลัก ลดปอดอักเสบ แปรงฟัน/ทำความสะอาดช่องปาก อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หลังอาหารทุกมื้อใช้ผ้าก๊อซชุบน้ำเช็ดเศษอาหารบริเวณกระพุ้งแก้ม–ลิ้น โดยเฉพาะผู้ที่อมอาหาร
สัญญาณอันตรายที่ต้องหยุดป้อนทันทีและไปโรงพยาบาลคืออะไร
หอบเหนื่อยทันทีหลังกลืน ไอไม่หยุด ปาก–เล็บเขียว ซึมลง ไข้สูง หนาวสั่น เจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก นอกจากนี้ถ้าน้ำหนักลดเร็ว–ปัสสาวะน้อยลง แสดงว่าได้รับสารอาหาร/น้ำไม่พอ ควรรีบปรึกษาทีมรักษา
หอบเหนื่อยทันทีหลังกลืน ไอไม่หยุด ปาก–เล็บเขียว ซึมลง ไข้สูง หนาวสั่น เจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก นอกจากนี้ถ้าน้ำหนักลดเร็ว–ปัสสาวะน้อยลง แสดงว่าได้รับสารอาหาร/น้ำไม่พอ ควรรีบปรึกษาทีมรักษา