ADD ANYTHING HERE OR JUST REMOVE IT…

กายภาพผู้ป่วย Stroke อย่ามองข้าม! เพิ่มโอกาสหายกลับมาปกติ

Table of Contents

Stroke หรือภาวะหลอดเลือดสมองตีบ/แตก เป็นภาวะฉุกเฉินทางระบบประสาทที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหว ความรู้สึก และการทำงานของร่างกายอย่างมาก หนึ่งในกระบวนการฟื้นฟูที่สำคัญและไม่ควรมองข้ามคือ “กายภาพบำบัด”

บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกความสำคัญของ “กายภาพผู้ป่วย Stroke” กุญแจสำคัญในการฟื้นฟูและเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด พร้อมทั้งแนะนำวิธีการกายภาพบำบัดเบื้องต้น ปัจจัยเสริมในการดูแลผู้ป่วย Stroke ระยะฟื้นฟู และตอบข้อสงสัยที่พบบ่อย

กายภาพบําบัดคืออะไร สำคัญอย่างไรต่อการฟื้นฟูผู้ป่วย Stroke

กายภาพบำบัด คือการประเมิน วินิจฉัยและบำบัดความบกพร่องของร่างกาย ซึ่งเกิดเนื่องจากภาวะของโรคหรือการเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติ รวมถึงการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกัน การแก้ไขและการฟื้นฟูความเสื่อมสภาพ โดยใช้เครื่องมือหรือการนวด หรือการยืดที่รักษาร่วมด้วยเครื่องมือ เป็นต้น

สำหรับการกายภาพผู้ป่วย Stroke คือการทำกายภาพบำบัดหรือการฝึกฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการคงที่แล้ว เพื่อฝึกกระตุ้นการทำงานของสมอง ฝึกทักษะการเรียนรู้และการเคลื่อนไหวใหม่ ฝึกฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพื่อปรับปรุงการทำงานของกล้ามเนื้อให้ดีขึ้น เป็นการฝึกเฉพาะสำหรับผู้ป่วยเส้นเลือดสมอง

กายภาพบำบัดช่วยฟื้นฟูร่างกายได้ทั้งในด้านอาการเจ็บป่วยและอาการอ่อนแรง โดยมีหลักการและวิธีการ ดังนี้

  • การลดอาการปวด กายภาพบำบัดมุ่งเน้นการบรรเทาอาการปวดและแก้ไขสาเหตุของอาการปวด
  • การฝึกกล้ามเนื้อ ในผู้ป่วยที่มีอาการปวด จะเน้นการฝึกกล้ามเนื้อและการปรับท่าทาง (posture) เพื่อป้องกันการกลับมาของอาการปวดซ้ำ มีการฝึกเทคนิคการเคลื่อนไหว เช่น การยกของ เพื่อป้องกันอาการปวดหลัง
  • การฟื้นฟูอาการอ่อนแรง ในผู้ป่วยเส้นเลือดสมอง จะเน้นการกระตุ้นการฟื้นฟูของร่างกาย เซลล์สมอง เส้นประสาท และกล้ามเนื้อ

คลินิกกายภาพบําบัด มีกี่ประเภทในปัจจุบัน

  1. คลินิกกายภาพบำบัดระบบกระดูกกล้ามเนื้อ
  2. คลินิกกายภาพบำบัดระบบประสาท
  3. คลินิกกายภาพบำบัดฝึกเดินด้วยหุ่นยนต์
  4. คลินิกเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกคนพิการ
  5. คลินิกธาราบำบัด
  6. คลินิกกายภาพบำบัดเด็ก

การตรวจร่างกายทางกายภาพบําบัดในผู้ป่วยเส้นเลือดสมอง Stroke

        การเตรียมตัวของผู้ป่วย

  • ควรสวมเสื้อผ้าที่โปร่งสบาย เช่น เสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้น เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจร่างกายและเคลื่อนไหวข้อต่อต่าง ๆ
  • หากผู้ป่วยใส่กางเกงขายาว ควรเตรียมยางรัดไว้ด้วย เพื่อใช้ในการตรวจบริเวณเข่าขณะฝึกเดิน

        ขั้นตอนการตรวจร่างกาย

  • การประเมินสภาพทั่วไป
    • ตรวจการตื่นตัวของผู้ป่วย
    • ตรวจการรับรู้ข้อมูล
    • ตรวจการสื่อสาร
  • การประเมินระบบกล้ามเนื้อ
    • ตรวจความตึงตัวของกล้ามเนื้อ (Tone)
    • ตรวจแรงของกล้ามเนื้อ
    • ตรวจการควบคุมกล้ามเนื้อ
  • การประเมินการทำงานอื่น ๆ
    • ตรวจการกลืน
    • ตรวจความสะอาดของช่องปาก
  • การประเมินการเคลื่อนไหว
    • ตรวจการพลิกตัว
    • ตรวจการลุกนั่ง
    • ตรวจการลุกยืน
    • ตรวจการทรงตัวขณะนั่งและยืน
    • พาเดินเพื่อตรวจลักษณะการเดิน

วิธีกายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วย Stroke แนวทางและท่าบริหารเบื้องต้น

1. การใช้มือบำบัด (Manual Therapy)

  • การนวด (Massage) ช่วยลดอาการปวดและเพิ่มการไหลเวียนเลือด
  • การดัดและยืดกล้ามเนื้อ (Stretching) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น
  • การจัดกระดูกและข้อต่อ (Joint Mobilization/Manipulation)

2. การใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีทางกายภาพบำบัด

  • อัลตราซาวด์บำบัด (Therapeutic Ultrasound) กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและลดการอักเสบ
  • เลเซอร์บำบัด (Laser Therapy) ลดอาการปวดและอักเสบ

3. การออกกำลังกายบำบัด (Exercise Therapy)

  • การฝึกกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง
  • การออกกำลังกายเพื่อปรับสมดุลและการทรงตัว
  • การออกกำลังกายเพื่อฟื้นฟูการเคลื่อนไหว

4. การใช้ความร้อนและความเย็น (Thermotherapy & Cryotherapy)

  • การประคบร้อน (Hot Pack/Paraffin Wax) ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
  • การประคบเย็น (Cold Pack/Ice Therapy) ลดการอักเสบและบวม

5. การฝึกการเคลื่อนไหวและการใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน (Gait Training & Assistive Devices)

  • ฝึกเดินและปรับรูปแบบการเดิน
  • การใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน เช่น ไม้เท้า วอล์คเกอร์

วิธีกายภาพบําบัดเส้นเลือดในสมองตีบและวิธีกายภาพบําบัด เส้นเลือดในสมองแตกนั้นมีหลักการพื้นฐานที่คล้ายคลึงกัน แต่การปรับใช้ท่าบริหารและความหนักของการฝึกจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการของผู้ป่วย โดยแบ่งออกเป็น 2 ระยะหลัก ๆ ดังนี้

  1. ผู้ป่วยยังไม่สามารถนั่งหรือทรงตัวได้ (อาการไม่คงที่) วิธีกายภาพบําบัด กล้ามเนื้ออ่อนแรงจะเน้นการฝึกบนเตียง 
  2. ผู้ป่วยอาการคงที่และเริ่มฝึกยืน การกายภาพบำบัดจะเน้นการฝึกยืน การทรงตัว และการเดิน โดยอาจใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อช่วยในการฝึกเพิ่มเติม

ตัวอย่างท่าบริหารเบื้องต้น (ควรทำภายใต้คำแนะนำของนักกายภาพบำบัด)

ท่าบริหารแขนและมือ

  • กำและแบมือ
  • งอและเหยียดข้อมือ
  • หมุนข้อมือเข้าและออก
  • ยกแขนขึ้นและลง
  • เหยียดและงอข้อศอก
  • ยกแขนไปด้านข้างและกลับ

ท่าบริหารขาและเท้า สำหรับการฝึกเดิน ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก 

  • กระดกข้อเท้าขึ้นและลง
  • หมุนข้อเท้าเข้าและออก
  • งอและเหยียดเข่า
  • ยกขาขึ้นและลง
  • เหยียดขาตรงและงอเข่า

ท่าบริหารลำตัว

  • ตะแคงตัวไปด้านซ้ายและขวา
  • หมุนลำตัวช้าๆ
  • ฝึกการทรงตัวขณะนั่งและยืน

ท่าบริหารเส้นเลือดตีบและท่าบริหารให้เลือดไปเลี้ยงสมอง โดยทั่วไปมักเน้นการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวล ต่อเนื่อง และเพิ่มการไหลเวียนโลหิตทั่วร่างกาย เช่น การแกว่งแขนขาเบาๆ การหายใจเข้าออกลึก ๆ 

สำหรับผู้ที่มีการทํากายภาพบําบัด ผู้ป่วยแขนขาอ่อนแรงจะเน้นการเคลื่อนไหวที่ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อและค่อยๆ เพิ่มความแข็งแรง

ข้อควรระวังในการกายภาพบําบัด

  • ข้อจำกัดในการใช้เครื่องมือ ผู้ป่วยบางโรคหรือบางภาวะสุขภาพ อาจมีข้อจำกัดในการใช้เครื่องมือบางชนิดในการกายภาพบำบัด
  • การปรึกษาแพทย์ หากมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการกายภาพบำบัด หรือปรึกษานักกายภาพบำบัดเพื่อขอคำแนะนำ
  • การแจ้งข้อมูล แจ้งโรคประจำตัวและประวัติสุขภาพแก่นักกายภาพบำบัดทุกครั้งก่อนเข้ารับการรักษา เพื่อให้นักกายภาพบำบัดสามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมและหลีกเลี่ยงจุดที่เป็นปัญหา

อุปกรณ์ที่ใช้ ในกายภาพบําบัด

นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์สำหรับการกายภาพบำบัดในผู้ป่วยโรคเส้นเลือดสมอง (Stroke) มุ่งเน้นการฟื้นฟูการเคลื่อนไหวและการทำงานของร่างกาย โดยใช้อุปกรณ์และเทคนิคต่าง ๆ ดังนี้ 

         อุปกรณ์พื้นฐาน

  • Parallel Bars (ราวคู่) ใช้สำหรับฝึกเดินและทรงตัว
  • Mirrors (กระจก) ใช้เพื่อช่วยในการฝึกการรับรู้และการควบคุมการเคลื่อนไหว
  • Tilt Table (เตียงปรับระดับ) ใช้สำหรับปรับระดับความเอียงของร่างกาย ช่วยให้ผู้ป่วยที่นอนติดเตียงสามารถฝึกการทรงตัวในท่านั่งและยืนได้
  • Dumbbells (ดัมเบล) ใช้สำหรับฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

เทคโนโลยีขั้นสูง

  • Robotic Gait Training (หุ่นยนต์ฝึกเดิน) ใช้หุ่นยนต์ช่วยในการฝึกเดิน ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถฝึกเดินได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

         อุปกรณ์เสริมอื่น ๆ

  • Virtual Reality (VR) and Augmented Reality (AR) integration (การผสาน VR/AR) ใช้ VR หรือ AR ร่วมกับการฝึกเดิน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนจริงและเพิ่มความสนุกสนานในการฝึก เครื่องฝึกเดินที่ต่อกับวีอาร์หรือเออาร์ จะช่วยให้การฝึกไม่น่าเบื่อและเพิ่มความสนุกสนานในการฝึกได้มากยิ่งขึ้น

การฟื้นฟูผู้ป่วย เส้นเลือด ในสมองแตก ในระยะยาวต้องอาศัยการดูแลแบบบูรณาการจากทีมสหวิชาชีพ ซึ่งประกอบด้วยแพทย์ นักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด นักภาษาบำบัด นักจิตวิทยา และพยาบาล ที่จะร่วมกันวางแผนการรักษาอย่างครอบคลุม ควบคู่ไปกับการดูแลด้านโภชนาการที่เน้นอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล การสนับสนุนทางด้านจิตใจจากครอบครัวและคนใกล้ชิดเพื่อเสริมสร้างกำลังใจ การออกกำลังกายเบา ๆ ที่เหมาะสมเพื่อเป็นการออกกําลังกาย ขยายหลอดเลือด และความอดทนและความต่อเนื่องในการบำบัดรักษาระยะยาว

WALK WELL – เดินได้เดินดี ศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยหลอดเลือดสมองโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง ศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยหลอดเลือดสมองโดยอายุรแพทย์ระบบประสาท และแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู มีโปรแกรมกายภาพบำบัด สามารถปรับตามได้ในแต่ละบุคคล และมีการประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม ติดต่อศูนย์  WALK WELL

ป่วย Stroke ทุกคนจำเป็นต้องทำกายภาพบำบัดหรือไม่?

โดยส่วนใหญ่ ผู้ป่วย Stroke ทุกรายจะได้รับประโยชน์จากการทำกายภาพบำบัด เนื่องจากช่วยฟื้นฟูการทำงานของร่างกายและป้องกันภาวะแทรกซ้อน อย่างไรก็ตาม แผนการรักษาจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

ควรเริ่มกายภาพเมื่อไรหลังเกิด Stroke?

ผู้ป่วยเส้นเลือดสมอง (Stroke) สามารถเริ่มได้เมื่ออาการของผู้ป่วยคงที่แล้ว โดยทั่วไปคือประมาณ 3 วันหลังเกิดอาการ ซึ่งการกายภาพบำบัดในช่วงแรกจะเป็นการฝึกแบบเบา ๆ ได้

ระยะเวลาการฟื้นตัวของผู้ป่วย Stroke ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง?

ระยะเวลาการฟื้นตัวแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของ Stroke ตำแหน่งของสมองที่ได้รับผลกระทบ สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ความสม่ำเสมอในการทำกายภาพบำบัด และการสนับสนุนจากคนรอบข้าง
โดยทั่วไป ผู้ป่วยจะเริ่มเห็นผลการรักษาหลังจากการทำกายภาพบำบัดอย่างน้อย 4 ครั้ง บางรายอาจหายจากอาการในทันที ในขณะที่บางรายอาจเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น

ผู้ป่วยสามารถทำกายภาพด้วยตนเองที่บ้านได้หรือไม่?

สามารถทำได้ แต่ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของนักกายภาพบำบัด เพื่อให้มั่นใจว่าท่าบริหารถูกต้องและปลอดภัย

ถ้าทำกายภาพแล้วมีอาการปวดหรืออ่อนแรงเพิ่ม ควรทำอย่างไร?

ควรหยุดทำทันทีและแจ้งให้นักกายภาพบำบัดหรือแพทย์ทราบ เพื่อประเมินอาการและปรับแผนการรักษา

บทความนี้ถูกตรวจทานโดย
หมอขวัญ นพ.ขวัญ ศรีศิลป
ว.51094
MD., Physical Medicine & Rehabilitation (PM&R / Physiatrist)