ADD ANYTHING HERE OR JUST REMOVE IT…

Stroke มีกี่ประเภท อธิบายแบบเข้าใจง่าย พร้อมยกตัวอย่าง

Stroke มีกี่ประเภท อธิบายแบบเข้าใจง่าย พร้อมยกตัวอย่าง
Table of Contents

การทำความเข้าใจถึงประเภทของ Stroke นั้นสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้เราสามารถระบุสาเหตุและวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ยังช่วยให้เราสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นของโรคได้ดีขึ้น และรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายของสมองและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัว ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจว่า Stroke มีกี่ประเภท พร้อมลงรายละเอียดทั้งประเภทเส้นเลือดในสมองแตกและประเภทเส้นเลือดในสมองตีบ เพื่อให้ทุกคนสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้

รู้จักภาวะ Stroke มีกี่ประเภท อะไรบ้าง?

สาเหตุของหลอดเลือดสมองมีด้วยกันหลายสาเหตุ ทั้งหลอดเลือดสมองตีบ (Ischemic Stroke) และหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke) ก็มีสาเหตุแตกต่างกันไปทั้งนี้ Stroke จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ

เส้นเลือดในสมองแตก (Hemorrhagic Stroke)

เส้นเลือดในสมองแตกเกิดจากอะไร

  • หลอดเลือดสมองโป่งพอง (Aneurysm)
  • เกิดจากภาวะความดันโลหิตสูงที่เป็นมายาวนาน ไม่ได้รับการรักษา ซึ่งสาเหตุนี้คือสาเหตุหลัก 
  • ในบางรายอาจเกิดจากโรคอื่น ๆ ที่ทำให้ความยืดหยุ่นผนังหลอดเลือดผิดปกติเช่น Marfan syndrome อย่างไรก็ตามภาวะนี้พบไม่บ่อย
  • ความผิดปกติของหลอดเลือดแต่กำเนิด เกิดการเชื่อมต่อผิดปกติระหว่างหลอดเลือดแดง (Artery) และ หลอดเลือดดำ (Vein) ที่เรียกว่า Arteriovenous Malformation (AVM)

เส้นเลือดในสมองตีบ (Ischemic Stroke)

เส้นเลือดในสมองตีบเกิดจากอะไร เส้นเลือดในสมองตีบ คือภาวะที่หลอดเลือดในสมองตีบแคบ ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้เพียงพอ ส่งผลให้สมองขาดเลือดและเสียหายในที่สุด ซึ่งจะแสดงอาการทางระบบประสาทต่าง ๆ ออกมา
โรคหลอดเลือดสมองตีบสามารถแบ่งออกเป็นประเภทออกเป็น 5 สาเหตุหลัก ดังนี้

  1. หลอดเลือดใหญ่ตีบ
  • หลอดเลือดสมองมีลักษณะคล้ายท่อน้ำขนาดใหญ่และแตกแขนงเป็นท่อเล็ก ๆ (หลอดเลือดฝอย) ไปเลี้ยงเซลล์สมอง
  • หากหลอดเลือดใหญ่ตีบ จะส่งผลให้เกิดอาการรุนแรง เช่น แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด ชาครึ่งซีก พูดไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจความหมาย ไม่สนใจซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย
  1. หลอดเลือดฝอยตีบ
  • หากหลอดเลือดฝอยตีบ พื้นที่สมองที่เสียหายจะมีขนาดเล็กกว่า
  • แต่อาการที่เกิดขึ้นก็อาจรุนแรงได้เช่นกัน เช่น แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด ชาครึ่งซีก
  1. ลิ่มเลือดจากหัวใจ
  • ลิ่มเลือดที่ก่อตัวในหัวใจ (เช่น จากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ) สามารถหลุดไปอุดตันหลอดเลือดในสมองได้
  • เนื่องจากลิ่มเลือดมักมีขนาดใหญ่ การอุดตันจึงมักเกิดขึ้นในหลอดเลือดใหญ่ ทำให้เกิดอาการฉับพลันและรุนแรง
  1. สาเหตุอื่น ๆ ปัจจัยเสี่ยงเช่น เบาหวาน ความดัน ไขมัน สูบบุหรี่หนัก
  2. ไม่ทราบสาเหตุ ในบางกรณี ไม่สามารถระบุสาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบได้อย่างชัดเจน

ทั้งนี้อาการของ เส้นเลือดในสมองแตก และตีบ อาการเริ่มแรกมีความคล้ายคลึงกันมาก สามารถสังเกตได้ตามหลักของ BE-FAST ดังนี้

  • B (Balance) สูญเสียการทรงตัว เวียนศีรษะ เดินเซ
  • E (Eyes) ตาพร่ามัว มองเห็นภาพซ้อน หรือสูญเสียการมองเห็น
  • F (Face) ใบหน้าเบี้ยว มุมปากตก หลับตาไม่สนิท
  • A (Arms) แขนขาอ่อนแรง ยกแขนไม่ขึ้น
  • S (Speech) พูดติดขัด พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง
  • T (Time) เวลาเป็นสิ่งสำคัญ หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที

โรคหลอดเลือดสมองตีบซ้ำ (Recurrent Stroke) คืออะไร?

โรคหลอดเลือดสมองตีบซ้ำ หมายถึง การเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ผู้ที่เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดซ้ำได้สูงกว่าคนทั่วไป

ยาต่าง  ๆ กับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง

ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมักได้รับยาหลายชนิดเพื่อควบคุมอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยยาหลักๆ ที่ใช้มีดังนี้ (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาและให้ยาของทางแพทย์ด้วย)

1. ยาละลายลิ่มเลือด ใช้เพื่อป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองซ้ำ โดยจะช่วยลดการแข็งตัวของเลือดและป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ผู้ป่วยต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และไม่ควรหยุดยาหรือปรับขนาดยาเอง

2. ยาลดความดันโลหิต ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมักมีความดันโลหิตสูงร่วมด้วยการควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองซ้ำ แพทย์อาจสั่งจ่ายยาควบคุมความดันโลหิต และแนะนำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ลดการบริโภคโซเดียม ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

3. ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเป็นสิ่งสำคัญแพทย์อาจสั่งจ่ายยาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และแนะนำให้ผู้ป่วยควบคุมอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

4. ยาลดไขมันในเลือด ไขมันในเลือดสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง การควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเป็นสิ่งสำคัญแพทย์อาจสั่งจ่ายยาลดไขมันในเลือด และแนะนำให้ผู้ป่วยควบคุมอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

ข้อควรระวัง

  • การใช้ยาแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับโรคร่วมของผู้ป่วยแต่ละราย
  • ผู้ป่วยควรรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และไม่ควรหยุดยาหรือปรับขนาดยาเอง
  • หากมีข้อสงสัยหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์ทันที
  • ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินยาเยอะแล้วจะส่งผลกระทบต่อตับไต เพราะแพทย์ที่ทำการรักษานั้นจะคอยตรวจสอบดูแลอย่างใกล้ชิด

การดูแลและฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง สามารถทำได้แบบไหนบ้าง

ดูแลโดยการทำกายภาพบำบัดผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง

  • ช่วงเวลา 3 เดือนแรก (Golden Period) เป็นช่วงที่สำคัญที่สุดในการฟื้นฟูร่างกาย 
  • นักกายภาพบำบัดจะออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อฟื้นฟูการเคลื่อนไหว ความแข็งแรง และการทรงตัว

ดูแลโดยอาหารการกิน

  • การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ขึ้นอยู่กับปัญหาสุขภาพและโรคประจำตัว
  • แพทย์หรือนักโภชนาการจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและป้องกันภาวะแทรกซ้อน

โปรแกรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยหลอดเลือดสมองมีอะไรบ้าง

  • นักกายภาพบำบัดจะประเมินสภาพร่างกายและปัญหาของผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อออกแบบโปรแกรมฟื้นฟูที่เหมาะสม
  • โปรแกรมฟื้นฟูจะแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของอาการ เช่น ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเกร็ง ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการอ่อนแรง หรือผู้ป่วยบางรายอาจมีปัญหาด้านการพูด
  • นักกายภาพบำบัดจะให้คำแนะนำและสอนวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

WALK WELL – เดินได้เดินดี ศูนย์ดูแลผู้ป่วยหลอดเลือดสมองโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง ศูนย์ดูแลผู้ป่วยหลอดเลือดสมองโดยอายุรแพทย์ระบบประสาท และแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู มีโปรแกรมกายภาพบำบัด สามารถปรับตามได้ในแต่ละบุคคล และมีการประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม ติดต่อศูนย์  WALK WELL

คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับ Stroke มีกี่ประเภท

อาการของ Stroke ทั้งสองประเภทเหมือนกันหรือไม่

ทั้งหลอดเลือดสมองตีบและหลอดเลือดสมองแตกมักมีอาการใกล้เคียงกันในระยะแรก เช่น แขนขาอ่อนแรง หน้าเบี้ยว พูดไม่ชัด การมองเห็นผิดปกติ หรือเวียนศีรษะจนเดินเซ จึงไม่สามารถแยกด้วยตาเปล่า จำเป็นต้องตรวจ CT หรือ MRI เพื่อยืนยันและเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสม

Stroke ประเภทไหนอันตรายกว่ากัน

ทั้งสองประเภทต่างเป็นอันตราย แต่เส้นเลือดสมองแตกมักรุนแรงและอาจเสียชีวิตได้เร็วกว่า ส่วนเส้นเลือดสมองตีบหากรักษาล่าช้าจะทิ้งความพิการถาวร เช่น อัมพฤกษ์หรืออัมพาต ดังนั้นไม่ว่าชนิดไหนก็ต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที

สามารถป้องกันการเกิด Stroke ได้อย่างไร

ควรควบคุมความดัน เบาหวาน ไขมัน เลิกบุหรี่ ลดการดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนัก และตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อเฝ้าระวังความผิดปกติของหลอดเลือด

Stroke สามารถหายเป็นปกติได้หรือไม่

ผู้ป่วยบางรายสามารถกลับมาใกล้เคียงปกติได้ หากเข้ารับการรักษาเร็ว ควบคุมโรคร่วม และทำกายภาพบำบัดต่อเนื่อง แต่ผู้ป่วยบางรายอาจยังมีความบกพร่องถาวร ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและตำแหน่งที่สมองเสียหาย

ใครคือกลุ่มเสี่ยงของ Stroke

ผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ผู้สูงอายุ รวมถึงผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์มาก หรือมีพฤติกรรมไม่ออกกำลังกาย

บทความนี้ถูกตรวจทานโดย
หมอขวัญ นพ.ขวัญ ศรีศิลป
ว.51094
MD., Physical Medicine & Rehabilitation (PM&R / Physiatrist)