โรคหลอดเลือดสมอง อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต แต่ไม่ได้หมายถึงจุดจบของความหวัง การฟื้นฟูเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความหมายอีกครั้ง บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจเส้นทางการฟื้นฟูผู้ป่วยหลอดเลือดสมองที่น่าอัศจรรย์ พร้อมทั้งไขข้อข้องใจว่าการฟื้นฟูเลือดออกในสมองฟื้นฟูยังไงให้ได้ผลที่สุด เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วยและครอบครัว
การฟื้นฟู เลือดออกในสมองฟื้นฟูอย่างไรให้ได้ผลที่สุด
- ระยะที่คนไข้ได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลหรือฝึกกายภาพบำบัด
ญาติจำเป็นต้องเตรียมพร้อมขณะผู้ป่วยอยู่ในการรักษาของแพทย์ เช่น การเรียนรู้วิธีการให้สายยางทางอาหาร หรือสังเกตอาการ เป็นต้น
- ระยะหลังกลับมาดูแลที่บ้าน
ญาติจำเป็นต้องเรียนรู้การทำกายภาพให้กับคนไข้, คุมอาหารและวิธีการดูแลพร้อมกับโรคร่วมที่คนไข้เป็น และต้องคอยเฝ้าสังเกตอาการโรคหลอดเลือดสมอง เมื่อเคยเป็นแล้วสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้
การรักษาโรคหลอดเลือดสมองด้วยกิจกรรมบำบัด
วิธีการรักษาด้วยกิจกรรมบำบัดจะแตกต่างกันไปตามกลุ่มผู้ป่วย ดังนี้
- ผู้ป่วยเด็ก ใช้ห้อง “Adventure room” เพื่อกระตุ้นประสาทสัมผัสต่าง ๆ ของเด็ก
- ผู้ป่วยที่มีปัญหาการกลืน ร่วมมือกับนักโภชนาการเพื่อจัดระดับอาหารตามมาตรฐาน IDDSI ฝึกการกลืนตามระดับอาหารที่กำหนด
- ผู้ป่วยที่มีปัญหาการใช้แขนและมือ ใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อฝึกการทำงานของแขน มือ และนิ้ว เช่น อุปกรณ์ครึ่งวงกลม หรือการสเก็ตช์บนโต๊ะ
- ผู้ป่วยที่ต้องการอุปกรณ์ดามข้อมือ นักกิจกรรมบำบัดจะออกแบบและตัดอุปกรณ์ดามข้อมือตามคำสั่งของแพทย์
เป้าหมายหลักของการดูแลฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง คือ การฝึกนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น เช่น การแต่งตัว การรับประทานอาหาร และการเขียนหนังสือ
แผนการฟื้นฟูและวิธีรักษาโรคหลอดเลือดสมองสู่ชีวิตใหม่ที่สดใส
แผนการดูแลผู้ป่วย stroke ระยะฟื้นฟูที่ครอบคลุม
ระยะระหว่างที่คนไข้ป่วย
ญาติจำเป็นต้องเตรียมพร้อมขณะผู้ป่วยอยู่ในการรักษาของแพทย์ เช่น การเรียนรู้วิธีการให้สายยางทางอาหาร หรือสังเกตอาการ เป็นต้น
ระยะหลังกลับมาดูแลที่บ้าน
ญาติจำเป็นต้องเรียนรู้การทำกายภาพให้กับคนไข้, คุมอาหารและวิธีการดูแลพร้อมกับโรคร่วมที่คนไข้เป็น และต้องคอยเฝ้าสังเกตอาการโรคหลอดเลือดสมอง เมื่อเคยเป็นแล้วสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้
เทคโนโลยีกายภาพบำบัดสมัยใหม่สำหรับฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
ในปัจจุบันการทำกายบำบัดมีอาการใช้เทคโนโลยีใหม่ในการทำกายภาพบำบัดโดยใช้อุปกรณ์เครื่องมือ (physical modalities) ดังนี้
- Physical Modalities (Heat) การใช้ความร้อน
- ความร้อนตื้น (Superficial Heat) ใช้ความร้อนจากภายนอก เช่น แผ่นร้อน ผ้าห่มร้อนไฟฟ้า เป็นต้น
- ความร้อนลึก (Deep Heat) ใช้คลื่นความถี่ต่างๆ เพื่อส่งความร้อนเข้าสู่เนื้อเยื่อชั้นลึก
โดยแต่ละคลื่นจะมีความสามารถในการดูดซับของแต่ละเนื้อเยี่อที่แตกต่างกัน โดยมีอุปกรณ์ที่นิยมดังนี้
1.1 คลื่นอัลตราซาวด์ ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อสร้างความร้อน เพื่อรักษาการปวดจากกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น ซึ่งแตกต่างกับเครื่องอัลตร้าซาวด์ในใช้ในการวินิจฉัย จากความแรงของคลื่น
1.2 คลื่น Short wave (Radio Wave) ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูงเพื่อใช้การรักษาการปวดจากกล้ามเนื้อ บริเวณกว้าง
- Physical Modalities (Cold: Cryotherapy) การใช้ความเย็น
ทั้งใช้ความเย็นจาก Cold Pack ถุงเย็นธรรมดาประคบตามบริเวณที่ต้องการ หรือเครื่องพ่นความเย็นเป็นเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่นำมาใช้ ในคลินิกบางแห่งที่เน้นเรื่องสปอร์ตอาจมีอ่างน้ำวนเย็นสำหรับให้คนไข้แช่หลังออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มการฟื้นฟู (healing) ของกล้ามเนื้อ แบ่งแยกย่อยได้ดังนี้
2.1 Cold Pack (การประคบเย็น)
2.2 Cold Bath/Ice Bath (การแช่น้ำแข็ง)
2.3 Cold Spray (การใช้สเปรย์เย็น)
- Physical Modalities (Electric) การใช้ไฟฟ้า
- Physical Modalities แบบอื่นๆ ที่มีการพัฒนาและเป็นที่นิยมปัจจุบันคือ
- เครื่องรักษาอาการปวดด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เรียกชื่อย่อว่า PMS (Peripheral Magnetic Stimulation) ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทั้งเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ
- เครื่องเลเซอร์ (Laser) มีแบบ Low- Level Laser Therapy (LLLT) เครื่องรุ่นใหม่ใช้ High Power Laser Therapy (HPLT) ซึ่งให้พลังงานสูงกว่าและทะลุทะลวงได้ลึกกว่า แต่เครื่องของกายภาพบำบัดแตกต่างจากเครื่องที่ใช้ในคลินิกเสริมความงาม
Golden Period ช่วงเวลาสำคัญในการรักษา
golden period stroke คือช่วงเวลา 3 เดือนแรกหลังผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองผ่านพ้นระยะวิกฤต ซึ่งเป็นลเนื่องจากเซลล์สมองที่เหลืออยู่จะพยายามปรับตัวและทำงานทดแทนส่วนที่เสียหาย
เส้นเลือดในสมองตีบ วิธีรักษามีความคล้ายคลึงกับเส้นเลือดในสมองแตก วิธีรักษาคือจะต้องได้รับการยืนยันการวินิจฉัย เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างโรคหลอดเลือดในสมองแตกหรือตีบ ต้องใช้ภาพทางรังสีคือ CT-Scan หรือ MRI
- MRI ให้ความแม่นยำได้มากกว่า แต่ข้อเสียคือใช้เวลานานกว่า CT-Scan เวลาประมาณ 20-30 นาที
- CT-Scan รวดเร็วกว่า ใช้เวลาประมาณ 5 นาที สามารถแยกภาวะหลอดเลือดสมองว่าแตกหรือตีบได้ดี
- ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการ แต่ไปถึงโรงพยาบาลเร็วมาก CT-Scan อาจปกติได้ บ่งบอกว่าสองยังไม่เสียหาย มาก เลยไม่พบความผิดปกติใน CT-Scan
ทั้งนี้การรักษาในเบื้องต้นของทั้งโรคหลอดเลือดตีบและแตกนั้นแตกต่างกัน ในกรณี ถ้าคนไข้ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบการที่ผู้ป่วยมาเร็วและสามารถรักษาได้ภายใน 4.5 ชั่วโมง จะสามารถให้ยาละลายลิ่มเลือด เพื่อเอาลิ่มเลือดที่อุดตันในสมองให้สลายไปได้ สําหรับคนไข้บางคนถ้ามาทันภายใน 24 ชั่วโมง และมีข้อบ่งชี แพทย์อาจพิจารณาดึงลากลิ่มเลือดได้พวกนี้ล้วนแล้วแต่เพิ่มโอกาสในการรักษาหายทั้งสิ้น
ในระยะที่พ้นจากระยะวิกฤตไปแล้วในระยะการดูแลต่อเนื่อง จะคล้ายคลึงกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าคนไข้โรคหลอดเลือดสมองตีบ หรือเส้นเลือดแตกเป็นความดันโลหิตสูง ต้องคุมความดัน ถ้าเป็นไขมันในเลือดสูงทั้งคู่ต้องคุมไขมันไม่ให้มีไขมันสูง ถ้าสูบบุหรี่อยู่ก็ควรจะหยุดการสูบบุหรี่ เป็นต้น
สรุปได้ว่าในการวินิจฉัยในระยะฉับพลันทันทีทั้งตีบกับแตก มีความแตกต่างกัน จำเป็นที่ต้อง CT-Scan หรือ MRI เพื่อแยกความแตกต่างและรักษาแยกตามลักษณะของการเป็นตีบหรือแตก
ผลเสียที่ตามมาเมื่อไม่รีบฟื้นฟูรักษาโรคหลอดเลือดสมองภายในเวลา Golden Period
หากไม่ได้รับการฟื้นฟูหลังการรักษาโรคหลอดเลือดสมองภายในเวลา Golden Period (ช่วงเวลาทองในการรักษา) หลังจาก 3 เดือนการฟื้นตัวยังเป็นไปได้ แต่จะช้าลง หลังจาก 1-1.5 ปี การฟื้นตัวจะน้อยลงมากและเริ่มคงที่
โอกาสในการกลับมาเป็นปกติหลังจากเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
โอกาสในการฟื้นตัวของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ ความรุนแรงของโรค และการรักษาที่ได้รับ แต่โดยทั่วไปแล้ว สมองมีความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองได้ และด้วยการดูแลที่ถูกต้อง ผู้ป่วยหลายรายสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง
หากถามว่าสมองฟื้นฟูได้ไหม ต้องตอบว่ามี แต่ขึ้นอยู่กับวิธีฟื้นฟูเซลล์สมองที่สูญเสียไป และไม่ใช่ทุกคนที่จะหายกลับมาเป็นปกติ
ค่าใช้จ่ายในการรักษา stroke
ค่าใช้จ่ายในการรักษาและดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมีความแตกต่างกันอย่างมาก ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค สภาพร่างกายของผู้ป่วย และการดูแลที่จำเป็น โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้
1. ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล
- ระยะเฉียบพลัน หากเข้ารับการรักษาผ่านระบบ Stroke Fast Track ผู้ป่วยอาจไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนของยาละลายลิ่มเลือดที่มีราคาสูง อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าห้องพัก ค่าตรวจวินิจฉัย และค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ อาจเกิดขึ้นได้
- ระยะฟื้นฟู
ค่ายา ยามาตรฐานสำหรับควบคุมความดันโลหิต เบาหวาน และไขมันในเลือด สามารถเบิกได้ตามสิทธิการรักษา
ค่ายาละลายลิ่มเลือด ยาบางชนิดอาจเบิกไม่ได้ และมีราคาแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับโรงพยาบาล
ค่ากายภาพบำบัด หากทำตามคำแนะนำของแพทย์ที่โรงพยาบาล อาจไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่หากต้องการทำกายภาพบำบัดที่ศูนย์ฟื้นฟู หรือจ้างนักกายภาพบำบัดส่วนตัว จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ค่าศูนย์ดูแลผู้ป่วย ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง และต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด อาจต้องเข้ารับการดูแลที่ศูนย์ฟื้นฟู ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงถึงหลักแสนบาทต่อเดือน
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ค่าเดินทางไปโรงพยาบาล ค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ อาหารเหลว สายให้อาหาร ค่าจ้างผู้ดูแลค่าเสียโอกาสทางรายได้ของผู้ดูแล
2. ค่าใช้จ่ายที่คาดไม่ถึง ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการดูแลผู้ป่วย ซึ่งอาจยาวนานหลายปี ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจสูงถึง 200,000 บาทต่อเดือน หรือมากกว่านั้น
ข้อควรรู้ โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขสูงที่สุดโรคหนึ่งในประเทศไทย
ก้าวสู่การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องด้วยแผนการฟื้นฟูระยะยาว
การวางแผนการรักษาฟื้นฟูระยะยาวควรทำโดยทีมสหวิชาชีพ ซึ่งประกอบด้วยแพทย์ นักกายภาพบำบัด นักพูดบำบัด นักกิจกรรมบำบัด และนักจิตวิทยา โดยแผนการรักษาจะถูกปรับเปลี่ยนตามความคืบหน้าของผู้ป่วย
เมื่อไรควรเข้ารับการฟื้นฟูที่ศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
ควรพิจารณาให้ผู้ป่วยเข้ารับการฟื้นฟูที่ศูนย์ฟื้นฟูในกรณีที่
- มีอาการผิดปกติหลังจากการรักษาเบื้องต้น
- ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
- ต้องการเข้ารับการบำบัดเฉพาะทาง เช่น การบำบัดด้วยหุ่นยนต์
- ต้องการการสนับสนุนจากทีมสหวิชาชีพ
เลือกศูนย์ฟื้นฟูที่ไหนดีตอบโจทย์ความต้องการ
เลือก WALK WELL ศูนย์ฟื้นฟูที่มีคุณสมบัติครบ ดังนี้
- ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ มีทีมสหวิชาชีพที่มีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองโดยเฉพาะ
- อุปกรณ์และเทคโนโลยี มีอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการรักษาและฟื้นฟู
- โปรแกรมการฟื้นฟู มีโปรแกรมการฟื้นฟูที่หลากหลายและเหมาะสมกับความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย
- บรรยากาศที่เอื้อต่อการฟื้นฟู มีบรรยากาศที่สะอาด ปลอดภัย และเป็นกันเอง
- ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย
คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับการฟื้นฟูผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง
ทำไมการฟื้นฟูผู้ป่วยหลอดเลือดสมองจึงสำคัญ
เพราะหลังพ้นภาวะฉุกเฉิน ผู้ป่วยจำนวนมากยังคงมีอาการอ่อนแรง พูดไม่ชัด หรือทำกิจวัตรประจำวันไม่ได้ การฟื้นฟูจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้สมองเรียนรู้และปรับตัวใหม่ ลดความพิการถาวร และเพิ่มคุณภาพชีวิต
เพราะหลังพ้นภาวะฉุกเฉิน ผู้ป่วยจำนวนมากยังคงมีอาการอ่อนแรง พูดไม่ชัด หรือทำกิจวัตรประจำวันไม่ได้ การฟื้นฟูจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้สมองเรียนรู้และปรับตัวใหม่ ลดความพิการถาวร และเพิ่มคุณภาพชีวิต
การฟื้นฟูผู้ป่วยหลอดเลือดสมองควรเริ่มเมื่อไร
ควรเริ่มโดยเร็วที่สุดหลังจากแพทย์ประเมินว่าอาการคงที่แล้ว โดยเฉพาะในช่วง Golden Period ของการฟื้นฟู (3 เดือนแรก) ซึ่งสมองยังมีความสามารถในการสร้างเส้นทางประสาทใหม่และเรียนรู้ทักษะได้ดีที่สุด
ควรเริ่มโดยเร็วที่สุดหลังจากแพทย์ประเมินว่าอาการคงที่แล้ว โดยเฉพาะในช่วง Golden Period ของการฟื้นฟู (3 เดือนแรก) ซึ่งสมองยังมีความสามารถในการสร้างเส้นทางประสาทใหม่และเรียนรู้ทักษะได้ดีที่สุด
การฟื้นฟูผู้ป่วยหลอดเลือดสมองที่บ้านสามารถทำได้หรือไม่
การฟื้นฟูที่บ้านสามารถทำได้ โดยมีนักกายภาพบำบัดหรือผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำและสอนวิธีการออกกำลังกายที่บ้าน แต่ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
การฟื้นฟูที่บ้านสามารถทำได้ โดยมีนักกายภาพบำบัดหรือผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำและสอนวิธีการออกกำลังกายที่บ้าน แต่ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
ระยะเวลาการฟื้นฟูผู้ป่วยหลอดเลือดสมองใช้เวลานานแค่ไหน
ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและความต่อเนื่องในการฝึก โดยทั่วไปอาจใช้เวลา 6 เดือนถึง 1 ปี หรือมากกว่านั้น แต่ผู้ที่เริ่มฟื้นฟูเร็วและสม่ำเสมอมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีกว่า
ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและความต่อเนื่องในการฝึก โดยทั่วไปอาจใช้เวลา 6 เดือนถึง 1 ปี หรือมากกว่านั้น แต่ผู้ที่เริ่มฟื้นฟูเร็วและสม่ำเสมอมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีกว่า
ครอบครัวมีบทบาทอย่างไรในการฟื้นฟูผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง
ครอบครัวคือกำลังใจสำคัญ ผู้ป่วยที่มีญาติช่วยดูแลและสนับสนุนมักฟื้นตัวได้ดีกว่า ครอบครัวยังช่วยติดตามอาการ พาไปทำกายภาพตามนัด และปรับสภาพบ้านให้เหมาะกับผู้ป่วย
ครอบครัวคือกำลังใจสำคัญ ผู้ป่วยที่มีญาติช่วยดูแลและสนับสนุนมักฟื้นตัวได้ดีกว่า ครอบครัวยังช่วยติดตามอาการ พาไปทำกายภาพตามนัด และปรับสภาพบ้านให้เหมาะกับผู้ป่วย